หมวดหมู่: สาระน่ารู้

  • ทริคเพิ่มภูมิคุ้มกัน ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ

    ทริคเพิ่มภูมิคุ้มกัน ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ

    เป็นที่ทราบกันดีว่า Covid-19 ถือเป็นโรคระบาคครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นทั่วโลก และถูกประกาศโดยองค์การอนามัยโลก ในขณะนี้หลายๆประเทศกำลังเผชิญและต่อสู้อย่างหนัก และออกมาตรการเพื่อป้องกันกับไวรัสครั้งนี้

    เมื่อพูดถึงสุขอนามัย อย่างเช่น การล้างมือบ่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อคุณเดินทางโดยขนส่งสาธารณะ การใช้แจลแอลกฮอล์ การสวมใส่หน้ากากอนามัย และหลีกเลี่ยงการสัมผัสหน้าและปาก ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมากต่อสถานการณ์ปัจจุบัน

    บุคคลที่มีโรคประจำตัว อย่างเช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด หรือปัญหาทางเดินหายใจ มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดอาการแทรกซ้อน และมีโอกาสรุนแรงมากขึ้นตามอายุ การดูแลตนเอง หรือการทำกิจกรรมบางอย่างสามารถช่วยให้ภูมิคุ้มกันของเราดีขึ้น และ สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคได้ ซึ่งมีวิธีดังนี้

    บริโภคอาหารที่ดี

    อาหารถือเป็นปัจจัยสำคัญต่อภูมิคุ้มกันและสุขภาพ การเลือกกินอาหารที่มีคาร์โบไฮเดตต่ำ และสามารถช่วยเรื่องน้ำตาลในเลือดและความดัน การบริโภคอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำจ่ะช่วยลดความเสี่ยงการเป็นเบาหวาน และหันไปบริโภคโปรตีนมากขึ้น ช่วยให้มีรูปร่างที่ดีขึ้น การบริโภคผักผลไม้ที่อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน กรดแอสคอร์บิก และวิตามินที่จำเป็นอื่นๆ เป็นประจำ อาหารหลักๆ อย่างเช่น เห็ด มะเขือเทศ พริกหวาน หรือผักใบเขียว อาทิ บร็อคโคลี่ ผักโขม ซึ่งมีส่วนช่วยให้การสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อให้ร่างกายสามารถป้องกันไวรัสได้

    ทั้งนี้ สามารถบริโภคอาหารจำพวก โอเมก้า 3 และ 6 ในปริมาณที่ร่างกายต้องการต่อวัน หรือ อาหารจากธรรมชาติบางชนิด ได้แก่ ขิง มะยม ขมิ้น หรือเครื่องเทศของอินเดียบางชนิด สมุนไพรหลายชนิดก็สามารถที่จะช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันในร่างกายได้อย่างดีเยี่ยม อาทิเช่น กระเทียม ใบกระเพรา เทียนดำ หรือจะเป็นอาหารประเภทเม็ดต่างๆ เม็ดทานตะวัน, ฟักทอง, เลมอน ซึ่งเม็ดเหล่านี้เป็นแหล่งรวมของวิตามินอี และ โปรตีน

    อย่าละเลยการนอน

    ระยะการนอนที่เหมาะสมจะอยู่ที่ประมาณ 7-8 ชั่วโมง ซึ่งจะเป็นวิธีหนึ่งที่จะเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย ในขณะนอนหลับ ร่างกายและสมองจะได้รับการซ่อมแซม การขาดการนอนหลับจะทำให้ร่างกายนั้นไม่ได้รับการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอไป ซึ่งจะมีผลกระทบต่อภูมิคุ้มกัน และอีกทั้งยังกระทบต่อการทำงานของวัคซีนที่ฉีดเข้าไปอีกด้วย


    ดื่มน้ำเยอะๆ

    การดื่มน้ำ 8-10 แก้ว ในทุกๆวัน ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายขับของเสียออกจากร่างกายได้ดีขึ้น ไม่เฉพาะแค่น้ำเปล่า สามารถดื่มน้ำผลไม้อื่นๆได้ด้วยเช่นกัน อาทิ น้ำมะพร้าว หรือ น้ำจากผลไม้ตระกูลส้ม เพื่อไล่ความร้อน

    ไม่ควรมองข้ามการออกกำลังกาย

    การบริโภคอาหารที่ดีควรตามด้วยการออกกำลังกายอย่างเป็นประจำ การออกกำลังกายอย่างเป็นประจำจะช่วยให้ร่างกายขับของเสียได้ดียิ่งขึ้น ระยะเวลาของการออกกำลังกายควรอยู่ที่ประมาณ 30-45 นาที ซึ่งขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของร่างกาย การออกกายอย่างเป็นประจำสามารถเพิ่มเมแทบอลิซึม ซึ่งเป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่อภูมิคุ้มกัน

  • 7 สัญญาณเตือน คุณควรเปลี่ยนที่นอน

    7 สัญญาณเตือน คุณควรเปลี่ยนที่นอน

    การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอมีความสำคัญต่อสุขภาพและการใช้ชีวิตประจำวัน  แต่ชาวอเมริกันหลายล้านคนต้องทนทุกข์ทรมานจากการขาดการนอนหลับ ผลการศึกษาของ The Sleep in America โดย National Sleep Foundation (NSF) พบว่า 75% ของผู้ใหญ่ มีปัญหาในการนอนหลับ การศึกษาพบว่า 60% ของผู้ตอบแบบสอบถามมีอาการง่วงนอนตอนกลางวันซึ่งรบกวนการทำกิจกรรมต่างๆทำให้ขาดงานหรือทำงานผิดพลาด ถึงแม้ว่าอาจจะมีปัจจัยในด้านการแพทย์มาเกี่ยวข้อง แต่ปัญหาอาจจะเกิดจากที่นอนก็เป็นได้ สัญญาณทั้งเจ็ดนี้ว่าแสดงว่าถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนที่นอนเพื่อดูว่าเตียงส่งผลกระทบต่อการนอนหรือไม่

    1. ที่นอนที่มีอายุ 7-10 ปี

    • การวิจัยพบว่าที่นอนจะมีอายุการใช้งานประมาณแปดปี แต่จะมีปัจจัยที่แตกต่างกันไปตามผู้ผลิตประเภทที่นอน ไม่ว่าคุณจะนอนคนเดียวหรือนอนกับคนรักและวิธีการนอนของคุณ หากคุณเป็นคนตัวใหญ่ ที่นอนของคุณมีแนวโน้มที่จะเสื่อมสภาพเร็วกว่า

      ที่นอนมีอายุการใช้งานและการสึกหรอ ซึ่งขึ้นอยู่กับคุณภาพของแต่ละแบรนด์ หากที่นอนของคุณเก่านั่นเป็นสัญญาณแรกที่อาจจะต้องใช้ที่นอนใหม่

    2. ที่นอนหย่อน หรือ ยุบลง

    • หากที่นอนมีรอยบุ๋มนั่นเป็นสัญญาณว่าที่นอนเก่ามากเกินไป การหย่อน หรือเสื่อมสภาพสามารถเกิดขึ้นได้กับวัสดุที่นอนเกือบทุกชนิด (นอกจากเตียงน้ำ) และสามารถสังเกตได้บริเวณใต้พื้นที่นอน หรือ ที่ขอบ หรือทั้งสองอย่าง หากที่นอนของคุณมีสปริงอาจทำให้พังและย้อยได้

      วัสดุไฟเบอร์โฟมและปลอกหุ้มหมอนจะเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลาและยิ่งที่นอนหย่อนหรือหยุบลงลึกเท่าไหร่คุณก็จะยิ่งรู้สึกไม่สบายตัวมากขึ้นเท่านั้น ที่นอนที่หย่อนอาจรบกวนการนอนหลับและทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยได้ หากแกนที่นอนเมมโมรี่โฟมของคุณนิ่มลงคุณอาจรู้สึกเหมือนนอน “เปลญวน”

    3. กระดูกสันหลังไม่อยู่ในแนวเดียวกันเมื่อคุณนอนหลับ

    • ไม่ว่าที่นอนของคุณจะเก่าแค่ไหน (หรือใหม่) หากไม่มีการรองรับและการจัดตำแหน่งที่เหมาะสมในขณะที่นอนหลับ จะเกิดอาการนอนหลับไม่สนิท สำหรับผู้ที่นอนเอนหงายหรือคนท้อง ตามธรรมชาติของกระดูกสันหลังควรอยู่ในแนวระนาบตามสรีระเมื่อคุณนอนบนที่นอน หากแบนหรือสูงเกินไปแสดงว่าที่นอนไม่ได้จัดแนวกระดูกสันหลังของคุณอย่างถูกต้อง

      สำหรับผู้นอนตะแคงกระดูกสันหลังของคุณควรตั้งตรงจากคอถึงส่วนล่างหากร่างกายได้รับการรองรับที่เหมาะสม หมอนที่ดีอาจช่วยแก้ปัญหาเล็กน้อยได้ แต่ถ้าสามารถเลื่อนมือเข้าไปในช่องว่างระหว่างลำตัวและที่นอนได้แสดงว่าถึงเวลาเปลี่ยนที่นอน

    4. นอนแล้วไม่รู้สึกสบายตัว

    • การนอนที่นอนที่สบายตัวเป็นสิ่งที่เราควรมี ถ้าไปนอนที่นอนของโรงแรม หรือบ้านเพื่อน เตียงที่บ้านอาจจะไม่สบายมากพอ เตียงที่ขายอยู่ที่โชว์รูม อาจจะดูสบาย แต่อาจจะไม่ได้สบายจริงเมื่อซื้อมาใช้ ส่วนบนของที่นอนของคุณประกอบด้วย “ชั้นที่นุ่ม” ซึ่งควรรองรับร่างกายของคุณและช่วยลดแรงกด เมื่อชั้นบนเสื่อมสภาพลงเมื่อเวลาผ่านไปส่งผลให้การนอนหลับไม่ดีและปวดเมื่อยตามร่างกาย แต่ในบางกรณีอาจจะเลือกที่นอนผิดตั้งแต่ซื้อ

    5. มีอาการปวดเมื่อยหลังตื่นนอน

    • การนอนหลับที่ไม่ดีอาจทำให้เกิดอาการปวดหลังเรื้อรังได้ หากคุณตื่นขึ้นมาตัวแข็งและปวดทุกวัน ที่นอนของคุณอาจเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาได้ หากอาการปวดหลังแย่ลงเมื่อตื่นนอน แต่อาการจะบรรเทาลงเมื่อคุณยืดและขยับไปมา นั่นเป็นสัญญาณว่าที่นอนก่อให้เกิดหรืออาจจะเป็นสาเหตุของอาการปวด

      ที่นอนที่หนาแน่นอาจไม่ใช่คำตอบ การศึกษาจากมูลนิธิ Kovacsในมายอร์ก้าพบว่าที่นอนที่มีความแน่นปานกลางให้ความสบายที่ดีกว่าสำหรับอาการปวดหลังส่วนล่างเรื้อรัง ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ทดสอบการนอนของที่นอนประเภทต่างๆก่อนซื้อหากคุณมีอาการปวดขณะนอนหลับหรือตอนตื่น

    6. อาการแพ้หรือหอบหืดแย่ลง

    • หากไม่ใช่ฤดูที่แพ้อากาศและไม่มีคำอธิบายอื่นสำหรับอาการแพ้หรือหอบหืด ที่นอนของคุณอาจเป็นตัวการ  ผู้เชี่ยวชาญด้านไรฝุ่นกล่าวว่าที่นอนของคุณเป็น“ที่ที่เกิดไรฝุ่นโปรตีนในอุจจาระของไรฝุ่นอาจทำให้เกิดอาการแพ้และโรคหอบหืดและฝุ่นที่สะสมในที่นอนของคุณก็เช่นกัน

      การดูดฝุ่นและการพลิกที่นอนอาจช่วยลดฝุ่นและไรเพื่อบรรเทาอาการของคุณได้ หากขั้นตอนเหล่านี้ไม่สามารถช่วยได้ที่นอนใหม่อาจเป็นวิธีแก้ปัญหา

    7. น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นหรือลดลง

    • สำหรับผู้ที่มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างมาก การเปลี่ยนแปลงอาจเปลี่ยนแปลงประสิทธิภาพของที่นอน การศึกษาของแคนาดาเชื่อมโยงทั้งการนอนหลับที่ไม่เพียงพอและน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น

      ร่างกายที่หนักขึ้นจะทำให้เกิดการสึกหรอของสปริงโฟมกันกระแทกและส่วนประกอบของที่นอนมากขึ้น นอกจากนี้หากนอนคนเดียว แต่ตอนนี้มีคู่นอนแล้ว ที่นอนของคุณอาจไม่มีพื้นผิวการนอนที่เพียงพอหรือรองรับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น นั่นหมายความว่าถึงเวลาสำหรับที่นอนใหม่

  • 8 เคล็ดลับช่วยลดอาการนอนไม่หลับ

    8 เคล็ดลับช่วยลดอาการนอนไม่หลับ

    การนอนหลับ ฟังดูเป็นเรื่องง่าย แต่กลับเป็นเรื่องยากของใครหลายคน จนต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากหมอ หรือต้องพึ่งยาบางชนิดที่อาจส่งผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจในด้านอื่นได้ วันนี้ Acmebell จะมาแนะนำ 8 เคล็ดลับง่ายๆ ที่จะช่วยให้การนอนหลับให้เต็มตื่นไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด เพื่อสุขภาพที่ดีในวันข้างหน้า

    • ตื่นนอนให้เป็นเวลา คนส่วนใหญ่จะนอนตื่นสายในวันหยุดสุดสัปดาห์โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณนอนหลับไม่สนิทในช่วงวันทำงาน ซึ่งนี้อาจเป็นสาเหตุให้คุณต้องทนทุกข์ทรมานจากนอนไม่หลับ คุณควรตื่นในเวลาเดียวกันทุกวันเพื่อฝึกร่างกายให้ตื่นในเวลาที่สม่ำเสมอ
    • งดการดื่มแอลกอฮอล์ และสารกระตุ้น เช่น นิโคตินและคาเฟอีน ฤทธิ์ของคาเฟอีนอยู่ได้หลายชั่วโมงอาจนานถึง 24 ชั่วโมง ดังนั้นจึงมีโอกาสที่จะส่งผลกระทบต่อการนอน คาเฟอีนไม่เพียงแต่ทำให้นอนหลับยาก แต่ยังอาจทำให้ตื่นบ่อยอีกด้วย แอลกอฮอล์อาจมีฤทธิ์กดประสาทในช่วง 2-3 ชั่วโมงแรกหลังการบริโภค แต่อาจทำให้เกิดความตื่นตัวบ่อยครั้งและการนอนหลับไม่สนิท
    • หลีกเลี่ยงการงีบหลับ  ในขณะที่การงีบหลับดูเหมือนจะเป็นวิธีที่เหมาะสมในการนอนไม่หลับ แต่ก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป สิ่งสำคัญคือต้องสร้างเวลาการนอนหลับอย่างสม่ำเสมอและฝึกฝนร่างกายให้คุ้นชินกับการนอนหลับอย่างเป็นเวลา  การงีบหลับอาจส่งผลต่อคุณภาพของการนอนหลับตอนกลางคืน
    • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ การออกกำลังกายเป็นประจำสามารถช่วยและเพิ่มระยะเวลาการนอนหลับได้ อย่างไรก็ตามไม่ควรออกกำลังกายก่อนเข้านอน เพราะจะทำให้ร่างกายตื่นตัว จึงควรหลีกเลี่ยงการกำลังกายก่อนนอนอย่างน้อย 3 ชั่วโมง


    • อย่ากินอาหารก่อนเข้านอน การรับประทานอาหารมื้อดึกหรือของว่างก่อนเข้านอน ส่งผลให้ระบบทางเดินอาหารทำงานหนัก  และสามารถก่อให้เกิดโรคกรดไหลย้อน (gastroesophageal reflux) หรืออาการเสียดท้อง  จึงถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องหลีกเลี่ยงการกินก่อนนอนเพราะอาจทำให้อาการแย่ลงได้ นอกจากนี้การดื่มน้ำมาก ๆ ก่อนเข้านอนอาจส่งผลต่อกระเพาะปัสสาวะ ทำให้ต้องเข้าห้องน้ำบ่อยจนรบกวนการนอนหลับของคุณ
    • จัดสภาพแวดล้อมให้เอื้อ ต่อการนอน ควรควบคุมอุณหภูมิแสงและเสียงเพื่อให้ห้องนอนเอื้อต่อการหลับ หากคุณมีสัตว์เลี้ยงในห้องกับคุณ ควรพิจารณาให้สัตว์เลี้ยงนอนที่อื่น หากมีแนวโน้มที่จะส่งเสียงดังในตอนกลางคืน
    • จัดการงานต่างๆ ให้เรียบร้อยก่อนเข้านอน หากคุณพบว่าคุณนอนอยู่บนเตียง และยังคงคิดถึงเรื่องในวันพรุ่งนี้ ให้ลองเผื่อเวลาทบทวนก่อนเข้านอน อาจจะเป็นหลังอาหารเย็น เพื่อทบทวนและวางแผนสำหรับวันถัดไป เป้าหมายคือหลีกเลี่ยงการทำสิ่งเหล่านี้ในขณะที่พยายามหลับ 
    • ลดความตึงเครียด มีวิธีบำบัดความเครียดและวิธีผ่อนคลาย หลายวิธีที่คุณอาจต้องการลองผ่อนคลายจิตใจและร่างกายก่อนเข้านอน ตัวอย่างเช่น การคลายกล้ามเนื้อ การหายใจลึก ๆ หรือการทำสมาธิ

  • อาการปวดคอ หลังจากตื่นนอน

    อาการปวดคอ หลังจากตื่นนอน

    การตื่นมาพร้อมอาการปวดคอไม่ใช่สัญญาณที่ดีของการเริ่มต้นวันใหม่ สามารถทำให้วันของคุณแย่ไปเลยก็ได้ ส่วนใหญ่แล้ว อาการเจ็บคอเกิดจากการนอน ประเภทของหมอน หรือปัจจัยอื่น ๆ สิ่งเหล่านี้สามารถแก้ไขได้ หากเรารู้วิธี อะไรที่ทำให้เกิดอาการปวดคอเมื่อคุณตื่นนอน? ท่านอนและหมอนอาจเป็นสาเหตุทำให้คอเคล็ดเจ็บคอและยังนำไปสู่อาการปวดหลังและอาการปวดอื่น ๆ ได้

    ท่านอน

    ทุกคนจะมีท่านอนที่ชอบ เมื่อคุณนอนคว่ำ  คออาจบิดไปข้างใดข้างหนึ่งครั้งละหลายชั่วโมง วิธีนี้อาจทำให้กล้ามเนื้อคอตึงและทำให้รู้สึกเจ็บและตึงในตอนเช้า

    การนอนคว่ำอาจทำให้ปวดหลังได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเรานอนบนที่นอนที่ไม่ได้รองรับสรีระได้อย่างดี สิ่งนี้อาจทำให้ท้องจมลงไปบนเตียงซึ่งอาจทำให้เกิดอาการตึงและการกดทับของกระดูกสันหลังและกล้ามเนื้อหลังของคุณ

    หมอน

    ศีรษะและคอของเรา ใช้เวลาหลายชั่วโมงบนหมอนในแต่ละคืน ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมการเลือกหมอนที่เหมาะสมจึงเป็นกุญแจสำคัญในการมีสุขภาพที่ดีและปราศจากอาการปวดคอ หมอนที่ไม่รองรับศีรษะและคอของคุณ  สามารถสร้างความตึงให้กับกล้ามเนื้อคอและทำให้ปวดคอได้

    หมอนเมมโมรี่โฟมอาจช่วยในการรองรับช่องว่างบริเวณคอและศรีษะได้ในขณะที่นอน ทำให้กระดูกสันหลังและคออยู่ในท่าที่ถูกต้อง


    การเคลื่อนไหวอย่างกะทันหัน

    การเคลื่อนไหวอย่างกะทันหัน เช่น การลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วหรือการเหวี่ยงแขนขาไปรอบ ๆ ในความฝันอาจทำให้กล้ามเนื้อคอตึงได้  การพลิกตัวในขณะที่คุณกำลังนอนหลับหรือพยายามที่จะนอนก็สามารถสร้างความปวดเมื่อยและความตึงที่คอของคุณได้เช่นกัน

    สาเหตุอื่น ๆ ในกิจวัตรประจำวัน

    • การบาดเจ็บบางประเภทหรือการบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา
    • การนั่งทำงานกับคอมพิวเตอร์นานเกินไปหรือดูโทรทัศน์นานเกินไปโดยไม่เปลี่ยนท่านั่ง หรือขยับร่างกาย
    • โรคข้อเข่าเสื่อมในข้อต่อกระดูกสันหลังส่วนบน
    • การกดทับเส้นประสาทที่เกิดจากหมอนรองกระดูกเคลื่อนหรือเดือยกระดูกที่คอ


    วิธีการรักษาในปวดต้นคอ

    หากคุณตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการเจ็บคอมีวิธีการรักษาหลายอย่างที่สามารถปฎิบัติเพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดได้ อาจไม่จำเป็นต้องไปพบแพทย์โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณไม่มีอาการอื่น ๆ หรือไม่ได้มีอาการเจ็บคอเป็นเวลานาน

    ตัวเลือกการดูแลตนเองที่สามารถลองทำได้มีดังนี้

    • ใช้น้ำแข็งประคบเย็นบริเวณที่เจ็บของคอครั้งละ 20 นาที วิธีนี้สามารถช่วยลดอาการอักเสบในกล้ามเนื้อคอได้
    • หากมีอาการปวดเป็นเวลาหนึ่งวันหรือมากกว่านั้นให้ประคบร้อนบริเวณที่บริเวณที่มีอาการเจ็บครั้งละ 20 นาที วิธีนี้สามารถช่วยบรรเทาและคลายกล้ามเนื้อได้
    • ลองใช้ยาแก้ปวด เช่น ibuprofen (Advil), naproxen (Aleve) หรือ acetaminophen (Tylenol)
    • ออกกำลังกายเบา ๆ เช่น เดินหรือโยคะ วิธีนี้จะช่วยให้เลือดไหลเวียนไปที่คอ

    วิธีการป้องกันอาการปวดคอ

    • หากเป็นคนที่ชอบนอนคว่ำ ให้ลองนอนตะแคงหรือนอนหงายแทน
    • หากชอบนอนตะแคงให้ลองวางหมอนไว้ระหว่างขา วิธีนี้จะช่วยให้คอของคุณอยู่ในแนวเดียวกันกับกระดูกสันหลัง
    • หมอนที่ทำด้วย “เมมโมรีโฟม” สามารถรับกับรูปทรงของศีรษะและลำคอและยังช่วยพยุงคอได้ดี
    • หลีกเลี่ยงการใช้หมอนที่แข็งหรือลึกเกินไป อาจทำให้กล้ามเนื้อคอมีอาการปวดได้ในชั่วข้ามคืน
    • ในระหว่างวันพยายามรักษาท่าทางที่เหมาะสมเมื่อยืนเดินและนั่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออยู่ที่โต๊ะทำงานหรือใช้คอมพิวเตอร์ หลีกเลี่ยงการค่อมไหล่และงอคอไปข้างหน้ามากเกินไป
    • พยายามถือโทรศัพท์ไว้ที่ระดับสายตาแทนที่จะก้มคอไปข้างหน้า
    • หลีกเลี่ยงการวางโทรศัพท์ไว้ระหว่างหูและไหล่
    • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ การออกกำลังกายสามารถช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อบริเวณคอ 
  • โรคเสพติดการทำงาน

    โรคเสพติดการทำงาน

    คุณอาจจะเป็นผู้ประกอบการ พนักงานบริษัท หรือแม้กระทั้งนักศึกษา นักเรียน ที่กำลังทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่ที่สุด และทำให้งานนั้นๆสำเร็จแข่งกับเดดไลน์  และพยายามผลักดันเพื่อให้ได้สิ่งที่ตนเองต้องการไม่ว่าจะเพื่อตัวเองหรือผู้อื่น และสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่นั้น เป็นสิ่งที่ดีหรือไม่

    ถ้ามองเผินๆ คุณอาจจะได้รับแรงผลักดันจากคนรอบข้าง เมื่อเราได้รับคำชม คำชมเหล่านี้จะเป็นเหมือนแรงผลักดันให้เราอยากทำงานให้มากขึ้น หรือหนักขึ้น แต่สิ่งเหล่านี้จะคุ้มค่ากับสิ่งที่แลกไปหรือไม่ อย่างเช่น ความเป็นอยู่ทางสังคม สุขภาพกายและใจ

    โรคเสพติดการทำงานคืออะไร

    โรคเสพติดการทำงาน คือ การที่คนหนึ่งคนติดการทำงาน และไม่สามารถควบคุมได้ จำเป็นจะต้องทำงานอย่างต่อเนื่อง

    การศึกษาพบว่า ในจำนวนประชากร ประมาณ 30 % มีความทุกข์จากโรคการเสพติดการทำงาน ซึ่งแน่นอนว่า โรคนี้คือปัญหา คุณอาจจะลองที่จะเป็นคนที่เสพติดการทำงานก็ได้ แต่ในสุดท้ายแล้ว จะพบว่านั้นคือโรคชนิดหนึ่ง  อะไรก็ตามที่เป็นสาเหตุของความไม่สบาย นั้นคือโรค และคุณจะรู้สึกทุกข์ทรมานจากมัน

    โรคเสพติดการทำงานเป็นคำที่คุณอาจจะไปสับสนกับคำว่า ความผูกพัน และมุ่งมั่นในงาน แต่จะไม่ใช่สำหรับเคสนี้ การเป็นโรคเสพติดการทำงานจะแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง

    การบ้างานคืออะไร

    การบ้างานเป็นคำที่เจาะจงเฉพาะบุคคลที่ติดการทำงานมาก มีความต้องการในการทำงานสูง โดยทั่วไป อาจหมายถึงพฤติกรรมที่ทำงานหลายๆชั่วโมง แต่ปัจจัยที่แตกต่างของโรคเสพติดการทำงานคือ คนทำงานมักจะคิดถึงเรื่องงานตลอดเวลา จนไม่มีเวลาส่วนตัวหรือช่วงเวลาการพักผ่อน แม้ว่าในช่วงที่บริษัท หรือเนื้องานไม่ต้องการก็ตาม

    การเป็นโรคเสพติดการทำงานอาจเป็นโรคที่ถูกมองว่าเป็นสิ่งที่ดี ในเรื่องของการบรรลุเป้าหมาย หรือประสบความสำเร็จในชีวิต แต่จะไม่ไช่สำหรับเคสนี้

    จะมีสิ่งที่ต่างกันระหว่างความหลงไหลในการทำงานกับการเสพติดการทำงาน  สิ่งแรกที่แตกต่างคือ การคิดถึงเรื่องงานอย่างต่อเนื่องหรือต้องการทำงานแม้ว่างานนั้นไม่ได้มีความจำเป็นก็ตาม ความผูกพัน และมุ่งมั่นในงาน และ การเสพติดการทำงาน มีสองสิ่งที่ต่างกัน ซึ่งจะสับสนกันอยู่บ่อยๆ

    ความผูกพัน และมุ่งมั่นในงานเกิดจากที่คุณชอบการทำงานและสามารถตัดขาดเมื่อใดก็ได้ แต่สำหรับโรคเสพติดการทำงานจะเป็นเรื่องยากที่จะตัดขาดได้  การเสพติดการทำงานอาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องของการเงินหรือปริมาณความต้องการในการทำงานที่แท้จริง การเสพติดการทำงานอาจจะส่งผลกระทบรุนแรงต่อสุขภาพและความสัมพันธ์ทางสังคม สามารถนำไปสู่ภาวะซึมเศร้า ความวิตกกังวลและความเครียดสูง นอกจากนี้ยังสามารถทำลายความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวและเพื่อนฝูงอีกด้วย

    มีการตีความที่ผิดๆของการเสพติดการทำงาน คือ การทำงานหลายชั่วโมง ซึ่งจริงๆแล้ว ไม่ถูกต้อง การทำงานหลายๆชั่วโมง อาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ มากกว่าการเสพติดการทำงาน เช่น ความต้องการทางด้านการเงิน  หรือโดยเนื้องาน หรือบริษัท ซึ่งการทำงานหลายๆชั่วโมง ไม่ได้หมายความว่า นั้นคือการเสพติดการทำงาน จะเห็นได้ชัดว่าบางทีเราอาจจะแยกออกได้ว่าคุณเป็นคนบ้างานหรือไม่ ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป อาการจะแสดงออกให้เห็นอย่างชัดเจน ทางสังคม ร่างกาย และสุขภาพทางใจ

    สัญญาณของโรคเสพติดการทำงาน

    • ใช้เวลากับการทำงานมากเกินความจำเป็น
    • ทำงานเพื่อเลี่ยงความรู้สึกต่างๆ เช่น ความรู้สึกผิด หรือความรู้สึกกดดัน
    • ไม่สนใจคนที่บอกให้คุณทำงานน้อยลง
    • จะรู้สึกเครียดถ้าคุณถูกห้ามไม่ให้ทำงาน
    • ลดความสำคัญกิจกรรมอื่นๆ และให้งานเป็นสิ่งแรกเสมอ
    • รักการทำงานมากจนส่งผลเสียต่อสุขภาพ

    วิธีการรับมือกับโรคเสพติดการทำงาน

        1. หาช่วงเวลาในการพักผ่อนบ้าง และกลับไปทำงานด้วยความมุ่งมั่นอีกครั้ง

       2. ควรกำหนดขอบเขตเวลางาน และทำตามแผนนั้น

       3. อย่าเครียดกับงานมากจนเกินไป

       4. หางานอดิเรกหรือสิ่งที่คุณชอบทำ ที่ไม่ใช่การทำงาน

       5. ให้ความสำคัญกับสุขภาพร่างกายและจิตใจ

  • การเดินละเมอ (Somnambulism)

    การเดินละเมอ (Somnambulism)

    “การเดินละเมอ” เป็นความผิดปกติที่ทำให้คุณต้องลุกขึ้นเดินในขณะที่คุณหลับ แพทย์อาจเรียกว่าอาการง่วงซึม

    มักเกิดขึ้นเมื่อคุณกำลังอยู่ในภาวะระยะหลับลึกไปสู่ระยะที่เบาลงหรือตื่นขึ้นมา คุณไม่สามารถตอบสนองได้ในขณะที่คุณกำลังเดินละเมอและมักจะจำไม่ได้ ในบางกรณี คุณอาจพูดสิ่งต่างๆ โดยไม่รู้สึกตัว การเดินละเมอส่วนใหญ่เกิดกับเด็กโดยปกติจะมีอายุระหว่าง 4 ถึง 8 ขวบ แต่ผู้ใหญ่ก็สามารถเกิดขึ้นได้เช่นกัน

    เมื่อมีสมาชิกในครอบครัวมีอาการเดินละเมออยู่ในบ้านสิ่งสำคัญคือ ต้องสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย ล็อคประตูและหน้าต่างเคลื่อนย้ายของมีคมและติดตั้งประตูที่ด้านบนสุดของบันได ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับหากคุณหรือคนที่คุณรักมีอาการเดินละเมอทำร้ายตัวเองหรือแสดงพฤติกรรมรุนแรงบ่อยๆ

    คนเดินละเมอมักจะแสดงอาการเหล่านี้

    • เดินไปรอบ ๆ ห้องของพวกเขาอย่างเงียบ ๆ
    • วิ่งหรือพยายามหนี
    • ตอบคำถามช้าหรือไม่ตอบเลย
    • ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับการเดินละเมอ

    สาเหตุของการเดินละเมอและปัจจัยเสี่ยง

    มีปัจจัยหลายด้านที่อาจนำไปสู่การเดินละเมอ

    สาเหตุหนึ่ง อาจเกิดจากพันธุกรรมของครอบครัว ฝาแฝดมีแนวโน้มที่จะนอนละเมอเหมือนกัน หากคุณมีพ่อแม่พี่ชายหรือน้องสาวที่เดินละเมอคุณมีแนวโน้มที่จะทำเช่นนั้นมากกว่าคนในครอบครัวที่ไม่มีคนเดินละเมอถึง 10 เท่า

    การศึกษาชี้ให้เห็นว่าเด็กที่เดินละเมออาจเป็นคนที่นอนไม่หลับเมื่อมีอายุ 4 ถึง 5 ขวบและกระสับกระส่ายมากขึ้นด้วยการตื่นนอนบ่อยขึ้นในช่วงปีแรกของชีวิต

    ถ้าเราเคยดื่มกาแฟเป็นประจำช่วงเช้า นั้นอาจเป็นเพราะร่างกายของเราต้องการน้ำเนื่องจากภาวะขาดน้ำ การนอนที่มากเกินไปในระหว่างวัน สามารถส่งผลกระทบต่อการนอนหลับในช่วงเวลากลางคืนได้ และเป็นหนึ่งสาเหตุของการปวดหัวในตอนเช้า

    สาเหตุที่ทำให้เกิดการนอนละเมอได้

    • ภาวะขาดการนอนหลับ 
    • เวลาการนอนที่ไม่เป็นเวลา
    • ภาวะเครียด
    • ภาวะเมาสุรา
    • การใช้สารเสพติด เช่นยากล่อมประสาท, ยานอนหลับ, ยารักษาประสาท, สารกระตุ้น หรือยาแก้แพ้

    ปัจจัยทางการแพทย์ที่เชื่อมโยงกับการเดินละเมอ

    • ภาวะหัวใจเต้นผิดปกติ
    • เป็นไข้
    • การเจ็บหน้าอกบ่อย ๆ
    • โรคหอบหืดในเวลากลางคืน
    • อาการชักกลางคืน
    • หยุดหายใจขณะหลับ(เมื่อคุณหยุดการหายใจสั้นๆ ระหว่างการนอนหลับ)
    • โรคขาอยู่ไม่สุข เป็นการรับรู้ผิดปกติบริเวณขา
    • ความผิดปกติทางจิตเวช เช่น ภาวะป่วยทางจิตจากเหตุการณ์รุนแรง, ภาวะตื่นตระหนกต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยไม่มีเหตุผล และโรคหลายบุคลิก

    การรักษาอาการเดินละเมอ

    การรักษาทางการแพทย์สำหรับการเดินละเมอมักอาจจะไม่จำเป็นนัก เพราะสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากพฤติกรรม เช่น การอดนอนปัญหาทางอารมณ์ความเครียดหรือไข้ เมื่อปัจจัยเหล่านี้ได้รับการแก้ไขการเดินละเมอก็จะหยุดลง

    การเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตบางอย่างอาจช่วยให้คุณหยุดเดินละเมอได้ จัดตารางการเข้านอนและตื่นนอนและทำกิจวัตรก่อนนอนที่ช่วยให้เกิดผ่อนคลาย ให้หยุดหรือลดดื่มหรือกินยา หากคุณกินยา ให้ปรึกษาแพทย์ว่าอาจมีผลกระทบหรือไม่

    การรักษาของคุณอาจรวมถึงการกินยา เช่น ยาซึมเศร้า หรือ ยากล่อมประสาท ในเด็กส่วนใหญ่การเดินละเมอจะหายไปเมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น แต่อาจอยู่ในวัยผู้ใหญ่หรือช่วงเริ่มเข้าสู่วัยผู้ใหญ่

    หากปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่างๆ แล้วยังพบว่าการเดินละเมอยังไม่หาย แนะนำให้พบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

  • การนอนมากเกินไปส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างไร

    การนอนมากเกินไปส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างไร

    ในช่วงที่ผ่านมา เราจะได้ยินเกี่ยวกับอันตรายของการนอนน้อย หรือขาดการพักผ่อนซะส่วนใหญ่ แต่การนอนมากเกินไปนั้นก็มีความเสี่ยงไม่แพ้กัน ในขณะที่คุณนอนหลับนั้น ร่างกายจะทำการซ่อมแซมส่วนต่างๆ ของร่างกาย แต่ถ้าเรานอนไม่ได้ตามที่ร่างกายต้องการนั้นสามารถส่งผลกระทบกับร่างกายของเราได้  การนอนแค่สองสามชั่วโมงนั้น ส่งผลเสียต่อร่างกาย และเกี่ยวโยงไปถึงโรคเรื้อรังต่างๆ ซึ่งจะทำให้เรารู้สึกเฉื่อยชาและอ่อนเพลีย

    การนอนมากเกินไปจะเกี่ยวเนื่องกับโรคหัวใจ ความเครียด โรคอ้วน และความเสี่ยงในการตายที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม การนอนมากเกินไปไม่ได้เป็นปัจจัยหลักของอาการป่วยต่างๆ แต่นี้สามารถเป็นสัญญาณของภาวะต่างๆ

    อ้างอิงจากผู้เชี่ยวชาญทางด้านการนอน เราไม่ควรนอนเกิน 8 ชั่วโมงต่อคืน

    การนอนเป็นเวลา 7 ชั่วโมง สามารถทำให้การทำงานของสมองดีขึ้น และทำให้อายุยืนขึ้น ช่วงระยะเวลาของการนอน จะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล บางคนอาจจะต้องการ 7 ชั่วโมง หรือบางคนต้องการนอน 8 ชั่วโมง ในกรณีที่เราเป็นคนทำกิจกรรมเยอะในแต่ละวัน เราอาจจะต้องการระยะเวลาการนอนที่มากขึ้น

    การนอนจะช่วยทำให้เราได้สร้างพลังงานให้กับร่างกาย จิตใจ และฟื้นฟูส่วนต่างๆ เมื่อเรามีปัญหาทางด้านสุขภาพ เราจะมีแนวโน้มในการนอนที่มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นไข้หวัด หรือมะเร็ง ภาวะต่างๆจะส่งผลให้ระยะเวลาการนอนหลับเพิ่มขึ้นชั่วคราว ซึ่งจะไม่เพียงแต่ความเครียดเท่านั้น ที่จะเพิ่มช่วงระยะเวลาการนอนของเรา แต่ในทางบวกด้วยเช่นกัน เช่น อายุเป็นอีกหนึ่งปัจจัยในการกำหนดช่วงระยะเวลาการนอน ยิ่งมีอายุที่มาก ระยะช่วงเวลาของการนอนอาจจะยาวนานกว่าคนหนุ่มสาว

    อย่างไรก็ตาม หากเรานอนมากกว่า 9 ชั่วโมง ระยะเวลานี้ถือว่ามากเกินไป แต่ถ้าการนอนเป็นระยะเวลานานๆ ในช่วงวันหยุดเสาร์ อาทิตย์ถือว่าไม่เป็นปัญหาใหญ่ แต่ถ้าเรามีพฤติกรรมการนอนที่มากเกินไปในทุกๆวัน หรือมากกว่า 9 ชั่วโมงเป็นปกติแล้ว และยังรู้สึกว่าพักผ่อนไม่พอ อันนี้ถือว่าอาจมีบางอย่างผิดปกติ ซึ่งอะไรที่มากเกินไป ก็จะส่งผลเสีย และนั้นหมายความว่าคุณกำลังสร้างผลเสียมากกว่าผลดีต่อร่างกายของคุณนั้นเอง 

    ผลกระทบที่มาจากการนอนมากเกินไป

    • ปวดหัว

    ถ้าเรารู้สึกทรมานจากอาการปวดศีรษะ หรือการนอนเป็นระยะเวลานานในช่วงเสาร์อาทิตย์เป็นสาเหตุของอาการปวดศีรษะ ถ้าเราตื่นมาพร้อมกับอาการปวดหัวหรือ brain fog คือ ภาวะสมองล้าหลังจาก 12 ชั่วโมงไปแล้ว อาจเกิดมาจากภาวะถอนคาเฟอีนหรืออาการลงแดงกาแฟนั่นเอง

    ถ้าเราเคยดื่มกาแฟเป็นประจำช่วงเช้า นั้นอาจเป็นเพราะร่างกายของเราต้องการน้ำเนื่องจากภาวะขาดน้ำ การนอนที่มากเกินไปในระหว่างวัน สามารถส่งผลกระทบต่อการนอนหลับในช่วงเวลากลางคืนได้ และเป็นหนึ่งสาเหตุของการปวดหัวในตอนเช้า


    • อาการเจ็บปวดตามร่างกาย

    ถ้าเรารู้สึกเจ็บปวด โดยเฉพาะบริเวณหลัง การนอนเป็นเวลานานจะยิ่งทำให้อาการเจ็บปวดแย่ลงได้ในขณะที่คุณนอนหรือนั่งในท่าเดิมๆเป็นเวลานาน เมื่อเราลุกขึ้นยืนทันที หรือขยับตัวทันที อาจจะทำให้ร่างกายเกิดอาการตึงหรืออาการปวดได้ เมื่อเรานอนเป็นเวลานานๆและไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกาย ซึ่งร่างกายต้องการการเคลื่อนไหวและการไหลเวียนในร่างกายในการฟื้นฟู และอีกหนึ่งเหตุผลที่อาจจะเป็นสาเหตุของอาการเจ็บปวดคือการนอนด้วยที่นอนที่ไม่เหมาะสม

    • โรคเบาหวานชนิดที่สอง

    การนอนที่นานเกินไปสามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆได้ เมื่อเราไม่มีสมดุลในการนอน ร่างกายไม่สามารถที่จะรักษาสมดุลของน้ำตาลในเลือด เป็นสาเหตุของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้

    • การเจริญพันธุ์บกพร่อง

    การนอนมากเกินไปนั้น จะส่งผลต่อระดับของฮอร์โมน ซึ่งจะส่งผลกระทบกับการตั้งครรถ์ ระยะเวลาในการการนอนในแต่ละคืนจะส่งผลต่อระบบการเจริญพันธุ์

    จากการวิจัย ผู้หญิงที่นอนเป็นเวลา 7-8 ชั่วโมง มีโอกาสที่จะตั้งครรถ์ได้ดีกว่า

    ผู้หญิงที่นอนมากกว่า 9 ชั่วโมงขึ้นไป

    เทคนิคการแก้ปัญหาการนอนมากเกินไป

    • ทานอาหารที่มีประโยชน์และมีสารอาหาร

    หลังจากการนอนที่เป็นระยะเวลาที่เหมาะสมแล้ว ถ้าเรายังรู้สึกเหนื่อยหรือล้า การรับประทานอาหารของเราอาจจะไม่เหมาะสมตามที่ร่างกายต้องการ และควรที่จะดื่มน้ำเยอะๆ เพื่อช่วยลดอาการเหนื่อยล้า

    • ออกกำลังกายเป็นประจำ

    การออกกำลังกายเป็นประจำมีการเคลื่อนไหวร่างกายเป็นประจำ จะช่วยเพิ่มพลังงานให้กับร่างกาย ช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการออกกำลังกาย จะเป็นช่วงเช้าและบ่าย แต่ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายอย่างหนักช่วง 3-4 ชั่วโมงก่อนเข้านอน เพราะจะทำให้ร่างกายหลั่งสารที่ทำให้ร่างกายรู้สึกกระชุ่มกระชวยมากขึ้น

    • สร้างบรรยากาศห้องนอนให้เหมาะสม เอื้อต่อการนอนหลับ

    ไม่ควรใช้เครื่องมืออิเล็คทรอนิกส์ เพราะจะทำให้การนอนหลับนั้นยากมากขึ้น ควรจัดที่นอนให้อยู่ในลักษณะที่นอนสบายและรองรับน้ำหนักตัวของเรา ในห้องนอนไม่ควรมีเสียงรบกวน และอุณหภูมิควรอยู่ที่ 17-25 องศา

    • การรับแสงแดดในแต่ละวัน

    ควรให้ร่างกายได้เจอกับแสงแดดในช่วงระหว่างวัน เพื่อให้เจอกับแสงธรรมชาติเพื่อรักษาสมดุล

    • ตั้งนาฬิกาปลุก

    ถ้ามีพฤติกรรมที่นอนนานมากเกินไป ควรมีการตั้งนาฬิกาปลุก

           การนอนมากเกินไปส่งผลต่อร่างกายในหลายๆด้านและทางด้านจิตใจ และยังสามารถส่งผลถึงครอบครัว อาชีพ และความสัมพันธ์ต่างๆ ถ้าเรากำลังมีปัญหาในการตื่นในตอนเช้า นี้สามารถเป็นสาเหตุที่ทำให้เราพลาดกับช่วงเวลาของครอบครัวในช่วงเช้า หรือกิจกรรมต่างๆ หรืออาจจะไปทำงานสาย ซึ่งการพบแพทย์เป็นความคิดที่ดีที่จะทราบว่าร่างกายของเราได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอหรือไม่ ระยะเวลาเท่าไรถึงจะเหมาะสมกับเรา

  • ช่วงเวลาไหนคือเวลาที่เหมาะสมกับการเข้านอน

    ช่วงเวลาไหนคือเวลาที่เหมาะสมกับการเข้านอน

    สำหรับบางท่าน ช่วงเวลาเข้านอนจะกำหนดตามเวลาที่จะต้องตื่นนอนในตอนเช้า และระยะเวลาของการนอนให้เพียงพอมากที่สุด ซึ่งจะมีปัจจัยอื่นที่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย นั้นก็คือ อายุ หรือว่าพฤติกรรมการนอน เช่น บางคนอาจจะเป็นมนุษย์กลางคืน หรือ คนที่ชอบตื่นเช้า

     

    สำหรับคนที่เป็นคนชอบตื่นนอนตอนเช้า จะรู้สึกมีชีวิตชีวาและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเป็นเวลาหลายชั่วโมงหลังจากที่ตื่นนอนในตอนเช้า

    จากงานวิจัยจากบริษัททดสอบพันธุกรรม ชื่อว่า 23andme ระบุว่า สาเหตุจากการเป็นคนที่ชอบตื่นนอนเช้าอาจจะมาจากพันธุกรรม นักวิจัยได้ทำการสอบถามผู้คน จำนวน 89,283 คน ว่าเป็นคนชอบตื่นเช้าหรือนอนดึก  ซึ่งจากการวิเคราะห์ DNA พบว่า มีความแตกต่างทางพันธุกรรม 15 ชนิด ที่สามารถพบได้ในคนที่มีนิสัยตื่นนอนเช้า  และ 48.4 เปอร์เซ็นของคนเหล่านั้น บอกว่าพวกเขาเป็นคนที่ชอบตื่นเช้า เปรียบเทียบกับ 39.7 เปอร์เซ็นของผู้ชาย และ มากกว่า 60 เปอร์เซ็นเป็นผู้ใหญ่มีแนวโน้มที่จะเป็นคนตื่นเช้ามากกว่าผู้ใหญ่ที่อายุต่ำกว่า 30

    สำหรับคนที่มีนิสัยนอนดึกจะเป็นคนสามารถทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและมีพลังงานในการใช้ชีวิตในช่วงเย็นหรือกลางคืน หรือผู้ที่มีแนวโน้วในการนอนค่อนข้างดึก ในการศึกษาจากผู้ใหญ่ จำนวน 433,268 อายุตั้งแต่ 38-73 มี 9 เปอร์เซ็น ให้คำตอบว่า พวกเค้าเป็นผู้ที่ชอบนอนดึก ซึ่งนักวิจัยพบว่าผู้ที่นอนดึกมีอัตราการตายสูงขึ้น แต่ยังไม่สามารถระบุได้แน่ชัดถึงเหตุผล

    จากข่าวที่มีการเผยแพร่ออกมาเกี่ยวกับการวิจัย นักวิจัยชื่อ Kristen Knutson สันนิษฐานว่าผู้ที่มีพฤติกรรมการนอนดึกจะออกกำลังกายได้น้อยลง และได้รับการพักผ่อนที่น้อยลง มีความเครียดสูงขึ้น หรือชั่วโมงของการรับประทานอาหารก็จะผิดเวลาไปด้วย เธอได้กล่าวไว้ว่า “มีอาการหลายอย่างของพฤติกรรมที่ทำให้เสียสุขภาพซึ่งเกี่ยวข้องกับการนอนดึกของตัวคุณเอง”

    อ้างอิงจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค

    – วัยรุ่น อายุระหว่าง 13 – 18 ควรนอนเป็นเวลา 10 ชั่วโมง

    – ผู้ใหญ่ตอนต้นที่อายุระหว่าง 18 – 25 ควรนอนเป็นเวลา 10 ชั่วโมง

    – ผู้ใหญ่อายุระหว่าง 26 – 60 ควรนอนเป็นเวลา 7 ชั่วโมง

    – ผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 61 – 64 ควรนอนเป็นเวลา 7 – 9 ชั่วโมง

    – ผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 65 ขึ้นไป ควรนอนเป็นเวลา 7 – 8 ชั่วโมง

    ในการกำหนดชั่วโมงหรือระยะเวลาของการนอน ควรที่จะกำหนดจากเวลาที่จะต้องการตื่นนอนเป็นหลัก และนับถอยหลังมาเป็นเวลาเข้านอน ยกตัวอย่างเช่น ต้องการที่จะตื่นนอน เวลา 7 โมงเช้า เวลาเข้านอนควรเป็น 5 ทุ่ม ซึ่งจะเป็นเวลาที่ทำให้การนอนหลับเพียงพอ ถึงแม้ว่าอาจจะใช้เวลาสักพักให้การหลับก็ตาม

    ในกรณีที่พบว่าเผลอหลับก่อนที่จะถึงเวลาเข้านอน หรือยังรู้สึกนอนไม่หลับ 20 นาทีหลังจากเวลาเข้านอนไปแล้ว เวลาเข้านอนจะสายหรือเร็วไปเล็กน้อย ดังนั้นควรที่จะปรับพฤติกรรมให้ตรงกับเวลาเข้านอนที่กำหนดไว้

    เมื่อคุณพบเวลาที่เหมาะสมในการเข้านอนแล้ว พยายามเข้านอนในเวลานี้ทั้งในอาทิตย์ของการทำงานหรือแม้กระทั้งวันสุดสัปดาห์ สิ่งนี้จะช่วยให้ร่างกายตั้งเวลาการนอนของตัวเอง

    ทุกคนสามารถฝึกการฝึกนิสัยการนอนที่ดีจะช่วยให้การเข้านอนเป็นเวลา ซึ่งมีหลักการดังนี้

    – พยายามให้ห้องนอนมีความเงียบ อาการเย็นสบาย และมืด

    – กำหนดเวลาเข้านอน และเวลาตื่นนอนทั้งในวันทำงานและวันเสาร์อาทิตย์ หรือวันหยุดยาว

    – หลีกเลี่ยงการดื่มหรือบริโภคคาเฟอีนในช่วงบ่ายของวัน หรือตอนเย็น

    – หลีกเลี่ยงการใช้มือถือ หรือเครื่องมืออิเล๊คทรอนิกส์ก่อนนอน

    – ทำกิจกรรมเพื่อผ่อนคลายในการเข้านอน อาทิเช่น การแช่อ่างน้ำร้อน การอ่าน การทำสมาธิ หรือการฟังเพลง

    – หลีงเลี่ยงการทานอาหารเผ็ดหรือมื้อหนักก่อนเข้านอน

  • 4 เทคนิคพิชิตออฟฟิศซินโดรม!

    4 เทคนิคพิชิตออฟฟิศซินโดรม!

    ในช่วง Work From Home แบบนี้ หากใครไม่อยากถูกอาการออฟฟิศซินโดรมจู่โจม เพราะนั่งทำงานผิดท่า ลืมลุกมาขยับร่างกาย หรือ เผลอเกร็งคอ บ่า ไหล่ ระหว่างนั่งทำงานโดยไม่รู้ตัว Acmebell มี 4 เทคนิคง่าย ๆ ที่จะชวนทุกคนคลายเมื่อย และลดความเสี่ยง ที่จะส่งผลถึงกระดูกและกล้ามเนื้อในระยะยาวจากอาการออฟฟิศซินโดรม

    เริ่มตั้งแต่การจัดองค์ประกอบของโต๊ะทำงานรวมไปถึง การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการนั่งทำงานที่บ้านให้เฮลตี้ มีความสุข งานไม่สะดุด แถมร่างกายไม่ประท้วงมาฝากกัน

    1. ตั้งจอให้พอดี จัดอุปกรณ์ให้พร้อมรองรับสรีระทำงาน เพื่อเพิ่มสีสันในการทำงานที่บ้าน หลายคนอาจจะมีไอเดีย จัดโต๊ะทำงานให้แจ่มว้าว แต่สิ่งที่ควรให้ความสำคัญไม่แพ้กัน คือ ฟังก์ชันของอุปกรณ์ที่จำเป็นในการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะ เก้าอี้ หรือ อุปกรณ์ไอที

    เพราะการ ทำงานที่บ้านนับจากนี้ ไม่ใช่แค่การส่งงานหรือตอบอีเมลอีกต่อไป แต่ต้องนั่งทำงานจริงจังวันละ 8 ชั่วโมง เพราะฉะนั้นต่อให้ใจพร้อม แต่อุปกรณ์ไม่พร้อม ร่างกายก็อาจสู้ไม่ไหว

    เริ่มจากอุปกรณ์ไอที ไม่ว่าจะใช้โน้ตบุ๊ก หรือ คอมพิวเตอร์ ตำแหน่งที่เหมาะสมของหน้าจอต้องอยู่ในระดับสายตา เพื่อให้ลำคอตั้งตรงขณะใช้งาน ถ้าปล่อยให้หน้าจอ อยู่สูงหรือต่ำกว่าระดับสายตาเกินไป จะทำให้กระดูกต้นคอ และกล้ามเนื้อคอ ต้องรับบทหนักในการรองรับน้ำหนักของศีรษะ ที่ต้องก้มหรือเงยตลอดเวลา ที่ใช้งาน และควรปรับระยะห่างระหว่างจอกับสายตาประมาณ 2.5 ฟุต

    ขณะที่โต๊ะทำงาน ควรอยู่ในระดับที่แขนและข้อศอกสามารถวางงอทำมุม 90 องศา เมาส์และคีย์บอร์ด ควรอยู่ในระดับเดียวกับข้อมือและข้อศอก ไม่วางห่างเกินไป จนทำงานไม่ถนัด ต้องเกร็งข้อมือ หรือยกไหล่และแขนขณะทำงาน

    เช่นเดียวกับเก้าอี้ ถ้าอยู่ในระดับสูง หรือเตี้ยเกินไป อาจทำให้ปวดขาและน่อง ระดับความสูงของเก้าอี้ที่เหมาะสม คือสามารถวางเท้าให้เข่าทำมุมตั้งฉากกับพื้น เพื่อลดอาการเกร็ง แต่หากนั่งแล้วเท้าลอย ควรหาที่วางเท้า มาช่วยรองรับจนสะโพกและขาตั้งฉากกัน เพื่อกระจายน้ำหนักตัวให้สม่ำเสมอ

    2. นั่งหลังตรง ถึงการทำงานอยู่ที่บ้าน จะทำให้คุณไม่ต้องกังวลว่าถ้านั่งตัวงอ หรือหลังค่อมจะทำให้เสียลุค แต่อันตรายของท่านั่งเหล่านี้ คือ ทำให้หมอนรองกระดูกเกิดแรงกดทับมากเกินไป จนเป็นต้นเหตุให้เกิดอาการปวดเกร็ง เพราะกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นโดนกดทับ

    ซึ่งในระยะยาวอาจนำไปสู่ภาวะหมอนรองกระดูกเคลื่อน หรือหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทได้ ดังนั้น เพื่อหลีกเลี่ยงอาการปวดหลังจากการนั่งทำงานนาน ๆ ควรหมั่นเช็คตัวเองบ่อย ๆ ว่า นั่งอยู่ในอิริยาบถไหน

    เช็คลิสต์ง่าย ๆ คือ พยายามนั่งโดยถ่ายน้ำหนักให้เต็มก้นหลังตั้งตรงติดพนักเก้าอี้ หากนั่งแล้วรู้สึกยังมีพื้นที่เก้าอี้ลึกเกินไป อาจหาหมอนเล็ก ๆ มาวางหนุนบริเวณหลังส่วนล่าง ซึ่งเป็นบริเวณสำคัญ ที่รองรับน้ำหนักตัวขณะนั่ง

    ถ้าเป็นไปได้อาจเลือกเก้าอี้ ที่ออกแบบให้เหมาะสมกับการยศาสตร์ (Ergonomics) เพื่อรองรับน้ำหนักและปรับให้เข้ากับสรีระได้ ที่สำคัญ ขณะนั่งทำงานต้องไม่รู้สึกว่าโน้มตัวไปข้างหน้าหรืองอตัวลงจนเกินไปขณะมองหน้าจอ และไม่ควรนั่งไขว่ห้างหรือทิ้งน้ำหนักไปด้านใดด้านหนึ่ง เพราะจะทำให้หลังและสะโพกเอียงผิดท่าไม่สมดุลได้

    3. ขยับตัวทุกชั่วโมง การทำงานที่บ้าน ทำให้โอกาสที่จะมีกิจกรรมแอคทีฟระหว่างวันหายไปทันตา เพราะจากนี้โลกทั้งใบถูกย่อมาไว้ในโลกออนไลน์ทั้งหมด ไม่ว่าจะประชุมกลุ่มใหญ่-กลุ่มย่อย ชิทแชทกับเพื่อนร่วมงาน หรือ นัดกินข้าวกับเพื่อนก็ต้องทำผ่านหน้าจอ ทำให้วันทั้งวันแทบไม่มีโอกาสขยับออกมาจากหน้าจอ

    ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ล้วนเป็นผลเสียต่อสุขภาพ ทำให้กล้ามเนื้อและกระดูกต้องรองรับน้ำหนักและแรงกดทับนานเกินไป ระบบไหลเวียนเลือดหมุนเวียนไม่ดี ทำให้แขนขาอ่อนแรง อาการเหน็บชาเริ่มถามหา 

    ทางที่ดีน่าจะลองหันมาตั้งนาฬิกาชีวิตใหม่ ด้วยการเตือนตัวเอง ให้ลุกขึ้นมาขยับอย่างน้อยทุก 1 ชั่วโมง อาจจะลุกขึ้นมายกแขน ขา หมุนคอ เดินออกไปสูดอากาศหน้าบ้าน หรือบิดขี้เกียจก็ยังดี เพื่อให้กล้ามเนื้อหลังได้เหยียดคลายและลดแรงกดบริเวณสะโพกและข้อเข่า ที่สำคัญ ยังเป็นการเผาผลาญแคลอรีไปในตัว

    ส่วนใครที่ต้องเพ่งหน้าจอนานๆ จนรู้สึกตาล้า อาจพักตาจากหน้าจอไปมองดูสิ่งรอบตัวประมาณ 10 วินาที แล้วค่อยสลับกลับมามองจออีกครั้ง

    4. เติมน้ำให้ร่างกายทำงานได้ไหลลื่น รู้หรือไม่ว่าการดื่มน้ำน้อยก็ทำให้เกิดอาการปวดตามข้อและหลังได้ เพราะบริเวณกระดูกอ่อนที่มีชั้นของคอลลาเจน มีน้ำเป็นส่วนประกอบมากถึง 80% นอกจากนี้ ข้อต่อต่าง ๆ ตามร่างกาย ซึ่งมีหน้าที่รองรับกระดูกสันหลังและดูดซับแรงกระแทก ยังต้องอาศัยน้ำเพื่อหล่อเลี้ยงข้อ

    ดังนั้นหากขาดน้ำ จะส่งผลให้กระดูกและข้อไม่สามารถดูดซับแรงกระแทกได้ดีเท่าที่ควรและเกิดการเสียดสีกันโดยไร้ชั้นกันชน พอบวกกับพฤติกรรมนั่งท่าเดิมนาน ๆ ก็อาจส่งผลให้เกิดอาการเจ็บปวดหรือบาดเจ็บได้ง่ายขึ้น

    ดังนั้นเพื่อเป็นการเตือนตัวเองทางอ้อม ให้จิบน้ำเติมความสดชื่นให้ร่างกายบ่อย ๆ ลองใช้เทคนิคการวางขวดน้ำ 1.5 ลิตรมาวางไว้ที่โต๊ะทำงาน เพื่อจะได้หยิบมาจิบได้ตลอดช่วงเวลาทำงาน และดื่มให้หมดขวดในแต่ละวัน

    ถือเป็นเช็คลิสต์ว่าวันนี้เราดื่มน้ำได้ครบตามปริมาณที่แนะนำแน่นอน หลายคนอาจไม่รู้ว่า ผู้ใหญ่มีการสูญเสียน้ำประมาณ 2.5 ลิตรต่อวัน แต่เนื่องจากร่างกายของคนเราจะได้รับน้ำที่ประกอบอยู่ในอาหารและน้ำที่ร่างกายผลิตขึ้นจากกระบวนการเผาผลาญอาหารอยู่แล้วประมาณ 1 ลิตร 

    ดังนั้นถ้าเราดื่มน้ำสะอาดให้ได้อย่างน้อยวันละ 1.5 ลิตรต่อวันก็จะสามารถทดแทนน้ำส่วนที่เสียไปได้อย่างเพียงพอ ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กระดูกและข้อต่อ และยังช่วยหล่อเลี้ยงร่างกายให้รู้สึกสดชื่น สมองปลอดโปร่ง ทำงานได้ตลอดทั้งวัน

    ทั้งหมดนี้คือเทคนิคง่าย ๆ ที่ Acmebell อยากนำมาฝากกัน เพราะนอกจากจะช่วยให้ทุกคนสามารถทำงานที่บ้านได้โดยห่างไกลจากอาการออฟฟิศซินโดรมแล้ว ยังช่วยส่งเสริมให้มีบุคลิกภาพที่ดีขึ้น และมีร่างกายพร้อมทำงานที่บ้านได้ในทุกวันอย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นด้วย และอย่าลืมว่าสุขภาพดี สามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยหลัก 3อ. อาหาร ออกกำลังกาย และอารมณ์ เพื่อสุขภาพกายและใจที่เฮลตี้

  • ข้อดีของสินค้าเพื่อสุขภาพที่ผลิตด้วยแม่พิมพ์

    ข้อดีของสินค้าเพื่อสุขภาพที่ผลิตด้วยแม่พิมพ์

    ผลิตภัณฑ์จะคงรูป

    อยู่คงเดิมตลอดอายุการใช้งาน ไม่เบี้ยว หรือจับตัวเป็นก้อน

    เนื้อของผลิตภัณฑ์ จะมีความละเอียดและแน่น ส่งผลให้มีความหนาแน่นสูง

            สามารถช่วยพยุงกล้ามเนื้อ ได้เป็นอย่างดี ส่งเสริมให้ระบบไหล่เวียนของเลือดทำงานได้ดี ด้วยวัสดุเมมโมรี่โฟม ของเรามีความหนาแน่นที่สูง คืนตัวช้า ส่งผลให้มีการรองรับสรีระร่างกายของคุณได้อย่างดีเยี่ยม กระจายแรงกดทับได้อย่างสมบูรณ์ ลดความเมื่อยล้า 

    นอนแล้ว ไม่ร้อน ระบายอากาศได้ดี เพราะวัสดุเป็นเซลล์เปิด  และวัสดุโพลียูรีเทนโฟม หรือที่เรียกว่า PU Foam ซึ่งเป็นวัสดุชนิดเดียวกับผลิตเบาะรถยนต์ มีความแน่น และไม่นิ่มจนเกินไป รองรับสรีระ นอนแล้วไม่ร้อน ผู้ป่วยที่เป็นแผลกดทับสามารถนอนได้ และช่วยลดและบรรเทาอาการสำหรับผู้ที่ชอบนอนแล้วปวดหลัง นอนแล้วปวดเมื่อย

           ความหนาแน่นของเมมโมรี่โฟม คือ มวลของเนื้อโฟมต่อหนึ่งหน่วยปริมาตรของโฟม หน่วยทั่วไปที่ใช้วัดความหนาแน่นของเมมโมรี่โฟมคือ ปอนด์ต่อลูกบาศก์ฟุต (lb/ft3) หมอนที่มีความหนาแน่นสูงนั้นจะต้องมีความหนาแน่นสูงกว่า 5 lb/ft3 ขึ้นไป ช่วง 3-5 lb/ft3 คือหมอนที่มีความหนาแน่นปานกลาง ต่ำกว่า 3 lb/ft3 คือหมอนที่มีความหนาแน่นต่ำ ในหลายๆครั้งความหนาแน่นถูกเข้าใจผิดว่าเป็นตัววัดความนุ่มของหมอนเมมโมรี่โฟมแต่แท้จริงแล้วความหนาแน่นกับความนุ่มของหมอนเป็นคนละส่วนกัน หมอนที่มีความหนาแน่นสูงกว่าสามารถมีความนุ่มมากกว่าหมอนที่มีความหนาต่ำกว่าได้ แต่หมอนที่มีความหนาแน่นที่สูงจะมีน้ำหนักของหมอนมากกว่าหมอนที่มีความหนาแน่นที่ต่ำเนื่องจากใช้เนื้อโฟมในการผลิตที่มากกว่าจึงทำให้มีราคาสูงกว่าด้วย 

           ซึ่งการลดแรงกดทับได้ดีกว่า หมอนที่มีความหนาแน่นต่ำจะมีเนื้อโฟมในหมอนที่น้อยทำให้เปลี่ยนรูปโค้งรับกับสรีระได้น้อย  ในขณะที่หมอนที่มีความหนาแน่นสูงสามารถเปลี่ยนรูปร่างเพื่อโค้งรับกับสรีระได้มากทำให้เพิ่มพื้นที่สัมผัส จึงลดแรงกดทับได้มากเนื่องจากมีเนื้อโฟมในหมอนเยอะ เพิ่มคุณภาพในการนอนและลดปวดได้มากกว่า จากสองข้อข้างต้นทำให้หมอนเมมโมรี่โฟมที่มีความหนาแน่นสูงสามารถลดอาการปวดได้มากกว่าจึงทำให้คุณนอนหลับได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีน้ำหนักที่มากกว่า หมอนที่มีความหนาแน่นที่สูงจะมีน้ำหนักของหมอนมากกว่าหมอนที่มีความหนาแน่นที่ต่ำเนื่องจากใช้เนื้อโฟมในการผลิตที่มากกว่า

    สินค้าได้มาตรฐาน

          การผลิตและขึ้นรูปสินค้าจากแม่พิมพ์ (Molded Foam) จะส่งผลให้ประสิทธิภาพของสินค้าจะมีคุณสมบัติเท่ากันทุกชิ้น เต็ม 100% มีความหนาแน่นสูง และส่งผลให้สินค้ามีอายุการใช้งานที่ยาวนาน ซึ่งเราเป็นผู้ผลิตเจ้าแรกในไทย ที่ผลิตและขึ้นรูปสินค้าด้วยแม่พิมพ์ทุกชิ้น 

          หมอนที่มีความหนาแน่นต่ำจะมีอากาศแทรกอยู่ในตัวหมอนเยอะทำให้หมอนคืนตัวเร็ว ในขณะที่หมอนที่มีความหนาแน่นสูงจะคืนตัวช้ากว่าเนื่องจากมีอากาศในหมอนน้อยกว่าจึงสามารถรักษารูปร่างที่รองรับศีรษะและคอได้ดีกว่า

    มีอายุการใช้งานยาวนาน

    เนื่องจากเราผลิตและขึ้นรูปด้วยแม่พิมพ์ ส่งผลให้มีความหนาแน่นสูง ส่งผลให้มีการคืนตัวช้า และจะส่งผลให้ผลิตภัณฑ์นั้นๆ มีความคงทนและอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่า จากโครงสร้างโฟมที่มีความหนาแน่นและเข้มข้นมากทำให้โครงสร้างของโฟมเสียหายช้าจากการใช้งานซ้ำๆ

  • เมมโมรี่โฟมของ Acmebell ดีอย่างไร ?

    เมมโมรี่โฟมของ Acmebell ดีอย่างไร ?

    หลับสบาย พร้อมได้สุขภาพที่ดี

    ด้วยความหนาแน่นที่สูง ที่สามารถรองรับศีรษะและคอ ของคุณได้อย่างดีเยี่ยม ในแบบที่คุณต้องการ ทำให้คุณนอนหลับได้อย่างสบาย และบอกลาอาการปวดคอ อาการนอนตกหมอนของคุณได้

    เมมโมรี่โฟมที่สามารถรองรับสรีระ
    ได้อย่างสมบูรณ์

    มีการโอบอุ้มศีรษะ และคอของคุณ ขณะนอนหลับ ทำให้เมมโมรี่โฟมเกิดการกระจายแรงกดทับ ช่วยซัพพอร์ทรองรับสรีระของเราได้อย่างสมบูรณ์ เพราะทำมาจากเมมโมรี่โฟมคุณภาพสูง ปรับเปลี่ยนรูปร่าง เพื่อรองรับสรีระ โอบกระชับ กระจายแรงกดทับ ลดอาการปวด

    เมมโมรี่โฟมมีความหนาแน่นสูง
    ต่างจากที่อื่น

    สามารถเพิ่มพื้นที่สัมผัสระหว่างตัวหมอนกับศีรษะ ต้นคอของคุณได้ และเมื่อพื้นผิวสัมผัสยิ่งมาก จะยิ่งช่วยลดแรงกดทับต่อจุดได้มาก ทำให้เกิดการ กระจายแรงกดทับได้มากกว่า ระบบเลือดไหลเวียน ได้ดีอีกด้วย

    เนื้อเมมโมรี่โฟมแบบ Open Cell
    มีโครงสร้างแบบเซลล์เปิด

    • อากาศถ่ายเทสะดวก – เซลล์นับล้านซึ่งมีรูเล็กๆอยู่รอบๆ เมื่อหนุนศีรษะไปบนหมอน เซลล์เปิดเหล่านั้นจะส่งผ่านอากาศ ไปยังเซลล์ข้างเคียงผ่านรูเล็กทำให้อากาศถ่ายเทสะดวก
    • ไม่ก่อให้เกิดกลิ่นอับ – โครงสร้างเซลล์เปิดนั้นจะช่วยกำจัด กลิ่นที่ไม่พึงประสงค์
    • ไม่ทำให้ร้อนขณะใช้งาน – คุณสามารถนอนหลับได้อย่างเย็นสบาย ช่วยทำให้อากาศถ่ายเทได้ดี นอนแล้วทำให้ไม่รู้สึกร้อน

    ดีไซน์ตามหลัก Ergonomic
    ในแต่ละตัว

    ซึ่งเป็นหนึ่งทางเลือกของการ ลดอาการปวดศีรษะ บ่าไหล่ และอาการปวดคอ คุณจึง สามารถสัมผัสได้ถึงความสบาย และผ่อนคลายได้ตลอดคืน

    มีอายุการใช้งานยาวนาน

    หมอน Acmebell มีความหนาแน่นสูงพิเศษ จึงมีอายุการใช้งานที่นานกว่า 5 ปี ทั้งยังลดอาการปวดได้ แถมมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าเมมโมรี่โฟมทั่วไป

    กันไรฝุ่น

    ด้วยความที่เป็นเมมโมรี่โฟม ที่มีความหนาแน่นที่สูงพิเศษ ของหมอน Acmebell ทำให้ไร้ซึ่งฝุ่น

    ลดอาการปวดคอ ปวดหลัง

    หมอนที่นิ่มเกินไป หรือแข็งเกินไป สามารถทำให้คุณเกิดอาการ ปวดศีรษะ และคอได้ เนื่องจากหมอนเหล่านั้น ไม่ได้รองรับศีรษะ และคอของคุณเท่าที่ควร ในทางตรงกันข้าม หมอน Acmebell “มีความแน่นที่ใช่” สำหรับคุณ คือ นุ่มถึงปานกลาง ซึ่งช่วยรอง รับศีรษะ และคอของคุณได้อย่างแท้จริง

    ปลอกหมอน 2 ชั้น มีซิปซ่อน ถอดซักได้

    ผ้าปลอกชั้นนอก ด้วยนวัตกรรมเส้นด้ายเย็น ทางเราเลือกใช้ผ้าปลอก Zen ที่มีคุณสมบัติให้ความรู้สึกเย็นสบาย แฝงในเส้นด้ายแต่ละเส้นของหมอน คงไว้ซึ่งทฤษฎี “ศีรษะเย็น เท้าอุ่น”เพราะตอนกลางคืน “ศีรษะ” ของเราจะมี การคายความร้อนออกมามากที่สุด เนื่องจากบริเวณผมจะมีรูขุมขนใหญ่ และถี่ที่สุด ซึ่งต่างจาก”เท้า” ที่มีรูขุมขนเล็กจนแทบมองไม่เห็น จึงควรดูแล ให้อุ่นอยู่เสมอและมีผ้าปลอกชั้นในห่อหุ้มเมมโมรี่โฟมไว้

    ** (ตัวเมมโมรี่โฟมไม่สามารถซักได้ เพียงแค่เช็ดด้วยน้ำเปล่า แล้วผึ่งลมในที่ร่มก็เพียงพอ ด้วยคุณสมบัติที่มีความหนาแน่นสูง เมมโมรี่โฟมของเรามักจะไม่อมฝุ่น)

  • เมมโมรี่โฟม คือ อะไร ?

    เมมโมรี่โฟม คือ อะไร ?

    เมมโมรี่โฟม (Memory Foam) หรือ วิสโคอีลาสติกโฟม (Viscoelastic Foam) เป็นวัสดุที่ต่อยอดมาจากโพลียูรีเทน (Polyurethane หรือ PUR) ซึ่งเป็นวัสดุในเบาะรถยนต์ ที่ขึ้นชื่อในเรื่องอายุการใช้งาน เพิ่มคุณสมบัติในเรื่องของความหนืด ความยืดหยุ่น และคุณสมบัติพิเศษในการคืนตัวช้า ทำให้หลังจากได้รับแรงกดทับ โฟมจะทำการจดจำสภาพ และค่อยๆคืนตัวสู่สภาพเดิม ซึ่งสามารถช่วยให้ลดแรงกดทับได้เป็นอย่างดี..

    โฟมชนิดนี้ถูกคิดค้นขึ้นในปี ค.ศ. 1966 โดยทีมนักวิทยาศาสตร์ขององค์การนาซ่า (NASA) มีวัตถุประสงค์ในการหาวัสดุเพื่อลดแรงกดทับในกล้ามเนื้อ ให้กับนักบินอวกาศ เนื่องจากในขณะที่จรวดถูกปล่อยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ และกลับสู่โลก นักบินอวกาศจำเป็นที่จะต้องอยู่ในตำแหน่งที่นิ่งเป็นเวลานาน..

    ปี ค.ศ.ที่ 1970 เมมโมรี่โฟมได้ถูกนำมาพัฒนาให้ดีขึ้น เพื่อให้สามารถรับน้ำหนัก และยุบตัวตามน้ำหนักที่ต่างกันอย่างอิสระพร้อมกับคืนตัวอย่างช้าๆ จึงช่วยรองรับน้ำหนักของคนเราได้อย่างพอดีทุกสัดส่วน และบรรเทาการกดทับได้อย่างดีมาก ด้วยเหตุนี้เมมโมรี่โฟมจึงถูกนำมาใช้เพื่อลดการบาดเจ็บจากแรงกดทับบนที่นั่งของกระสวยอวกาศ ซึ่งแรกเริ่มเมมโมรี่โฟมถูกเรียกว่า “โฟมที่คืนตัวอย่างช้าๆ” ซึ่งช่วยกระจายน้ำหนัก และแรงกดทับอย่างสม่ำเสมอบริเวณพื้นผิวสัมผัส..

    ในปี ค.ศ 1980 NASA เผยแพร่เทคโนโลยีเมมโมรี่โฟม สู่สาธารณะ และหลังจากนั้นไม่นานเมมโมรี่โฟมได้ถูกใช้อย่างแพร่หลายในวงการแพทย์ เช่น ใช้เป็นเตียงแทนฟูกแบบธรรมดา เพื่อลดอาการบาดเจ็บจากแรงกดทับ และอาการเนื้อตายจากการที่เลือดไม่ไหลเวียนของผู้ป่วยที่เคลื่อนไหวไม่ได้บนเตียงคนไข้ อีกทั้งเมมโมรี่โฟมยังช่วยลดอาการปวดกล้ามเนื้ออีกด้วย..

    แรกเริ่มเมมโมรี่โฟมถูกใช้งานแค่ในวงแคบ เนื่องจากมีราคาสูง แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีพัฒนาขึ้นมามาก ทำให้มีราคาลดลง โดยเฉพาะนำมาใช้ในทางการแพทย์หลายๆด้าน รวมถึงใช้ในโรงพยาบาล เช่น ทำเป็นเบาะรองนั่งของรถเข็นคนพิการ (wheelchair) ฟูกที่นอนเมมโมรี่โฟม เบาะรองนอนพิเศษสำหรับผู้ป่วยแผลไฟไหม้ หรือผู้ป่วยติดเตียง เพื่อช่วยลดอาการบาดเจ็บจากแผลกดทับ และเพิ่มอัตราการไหลเวียนของเลือด, ทำหมอนหนุนนอนเมมโมรี่โฟมเพื่อลดการบาดเจ็บของต้นคอ หรือปวดต้นคอ , รองเท้าเมมโมรี่โฟม..

  • 5 วิธีแก้นอนกรน ลดความเสี่ยงโรคร้ายได้อย่างไม่น่าเชื่อ!

    5 วิธีแก้นอนกรน ลดความเสี่ยงโรคร้ายได้อย่างไม่น่าเชื่อ!

    [vc_row][vc_column][vc_column_text][/vc_column_text][vc_column_text]“คุณเป็นคนนอนกรนไหม” ไม่มีใครหรอกที่จะยอมรับว่าตัวเองเป็นคนนอนกรนหากไม่ได้ฟังจากปากคนที่นอนอยู่ข้างๆ หรือมีหลักฐานแน่นหนารัดตัว แต่รู้หรือไม่ว่า ยิ่งคุณปฏิเสธอาการนอนกรนมากเท่าไหร่ร่างกายของคุณก็จะเสี่ยงต่อการที่โรคภัยถามหามากเท่านั้น!

    เพราะอาการนอนกรนที่เกิดขึ้นนั้นคือ สัญญาณบ่งบอกถึงความผิดปกติของพฤติกรรมการนอนและสุขภาพที่เริ่มจะย่ำแย่ เช่น การเผชิญหน้ากับโรคอ้วนทำให้อาจมีเนื้อเยื่อผนังคอที่มากซึ่งทำให้เกิดอาการกรน อาการต่อมทอนซิลโต ผู้ป่วยที่มีอาการลิ้นโต หรือคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับทางเดินหายใจแบบไม่รู้ตัว ฯลฯ[/vc_column_text][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_column_text][/vc_column_text][vc_column_text]โรคร้ายจากอาการการนอนกรนที่คุณอาจไม่เคยรู้

    เนื่องจากอาการนอนกรนเริ่มต้นจากความผิดปกติในร่างกายอย่างที่กล่าวไว้ในข้างต้น ย่อมส่งผลเสียให้กับร่างกายได้มากกว่าที่คุณคิด

    ไม่ว่าจะเป็นผลเสียเล็กๆ น้อยๆ อย่างอาการอ่อนเพลีย ง่วง รู้สึกไม่สดชื่นจากการที่สะดุ้งตื่นในช่วงกลางดึก เพราะรู้สึกหายใจไม่สะดวก ในบางคนอาจรู้สึกปวดหัว มึนศีรษะมีความรู้สึกเหมือนว่าไม่ได้หลับนอนมาทั้งคืน ทั้งๆ ที่ได้นอนพักผ่อนอย่างเต็มที่ร่วมด้วย

    หรือผลเสียขนาดใหญ่ที่ขยายในวงกว้างจากการละเลยไม่ยอมเข้าสู่กระบวนการรักษานั่นก็คือ การเป็นโรคแทรกซ้อนต่อเนื่องซึ่งมีสาเหตุมาจากสุขภาพการนอนที่ไม่ดี

    โดยเฉพาะโรคภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea, OSA) ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ร่างกายจะเกิดภาวะขาดออกซิเจนเป็นช่วงๆ ตลอดการนอนหลับ และเป็นบ่อเกิดของโรคต่างๆ ตามมา เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจขาดเลือด โรคอัมพาต อาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ รวมไปถึงอาการป่วยที่เป็นโรคทางใจ เช่น โรคซึมเศร้า ฯลฯ

    ซึ่งถ้าหากปล่อยให้อาการกรนนี้หนักข้อขึ้นเรื่อยๆ นอกจากจะส่งผลเสียทำให้เกิดโรคอื่นๆ ตามมาจากอาการที่สะสมในระยะยาวแล้ว เสียงกรนยังส่งผลต่อความสัมพันธ์กับคนข้างกายที่ต้องนอนฟังเสียงรบกวนในทุกๆ คืนทำให้เกิดความหงุดหงิดและทะเลาะกันได้อีกด้วย[/vc_column_text][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_column_text]รวมวิธีการแก้นอนกรน

    ก่อนที่โรคร้ายจะรุมเร้า คุณควรรีบแก้ไขปัญหานอนกรนให้ได้ก่อนจะสาย ด้วย 5 วิธีแก้นอนกรนที่จะช่วยทำให้สุขภาพการนอนของคุณดีขึ้นได้ง่ายๆ ดังนี้

    1. ปรับเปลี่ยนท่านอน

    ใครจะรู้ล่ะว่าแค่ปรับเปลี่ยนท่านอนจะสามารถช่วยแก้อาการนอนกรนได้โดยไม่ต้องพึ่งการรับประทานยาเข้าช่วย เพราะคนที่มีปัญหาด้านการนอนส่วนใหญ่มักจะเริ่มจากเรื่องง่ายๆ อย่างการนอนผิดท่า ทำให้รู้สึกไม่สบายตัว ส่งผลให้เกิดอาการกรน ละเมอ หรือฝันร้ายตามมา

    ซึ่งถ้าคุณมีปัญหาด้านการนอนกรนเป็นหลักก็อาจจะลองสำรวจท่าทางการนอนของตนเองดูว่าเป็นท่านอนหงายที่มักจะทำให้โคนลิ้นและเพดานอ่อนปิดกั้นช่องลมหายใจจนทำให้เกิดเสียงกรนหรือไม่

    หลังจากนั้นให้ลองเปลี่ยนท่านอนใหม่ โดยท่านอนที่จะช่วยแก้นอนกรนในระยะเบื้องต้นได้ดีที่สุดจะเป็นท่านอนตะแคง พร้อมงอข้อศอกเล็กน้อย เพื่อให้มือข้างหนึ่งยันคางไว้เป็นการปิดปาก

    แต่ถ้าใครไม่ถนัดในการนอนตะแคงเลยก็อาจจะใช้เทคนิคเล็กๆ ช่วย ด้วยการใส่ผ้าหรือลูกเทนนิสไว้ในเสื้อนอนด้านหลัง เพื่อเป็นการบังคับให้นอนหลับในท่าตะแคงตลอดเวลา เท่านี้ก็จะช่วยปรับเปลี่ยนจากท่านอนหงายธรรมดาเป็นท่านอนตะแคงที่ช่วยลดอาการกรนและการหยุดหายใจในขณะหลับได้ง่ายๆ แล้วล่ะ[/vc_column_text][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_column_text]2. จัดเตรียมบรรยากาศที่พร้อมสำหรับการนอน

    แค่ปรับเปลี่ยนท่านอนอย่างเดียวอาจจะยังไม่พอ วิธีแก้นอนกรนวิธีที่ 2 นี้จะเป็นตัวช่วยหนึ่งที่ทำให้คุณสบายและหลับได้ลึกมากยิ่งขึ้นด้วยการจัดเตรียมบรรยากาศและสถานที่ให้พร้อมสำหรับการนอนมากที่สุด

    เริ่มต้นจากการปรับหมอนหนุนนอนให้เหมาะสม อย่างหมอนของ Acmebell มารองศีรษะให้สูงขึ้นพอประมาณ เพื่อเป็นการช่วยลดอาการบวมของเนื้อเยื่อในระบบทางเดินหายใจส่วนบนทำให้หายใจได้สะดวกมากขึ้น และลดอาการปวดเมื่อยต้นคอได้ดี

     

     

    รวมถึงการทำความสะอาดเตียงนอน ด้วยการหมั่นซักปลอกหมอน ผ้าห่ม และผ้าปูเตียงอยู่เสมอ เพื่อเป็นการป้องกันไรฝุ่นสะสมที่ทำให้เกิดอาการภูมิแพ้ซึ่งส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจจนสุดท้ายกลายเป็นโรคภูมิแพ้ที่เป็นสาเหตุหนึ่งของอาการนอนกรนได้ด้วยเช่นกัน[/vc_column_text][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_column_text]3. ดูแลสุขภาพ

     

    ลดน้ำหนัก

    เมื่อน้ำหนักขึ้นจะทำให้ช่วงคอหนาส่งผลให้ไขมันที่พอกพูนบริเวณช่วงคอ อก รวมไปถึงหน้าท้องเบียดช่องทางการหายใจจนเกิดอาการกรน ดังนั้นการลดน้ำหนักจึงเป็นหนทางที่จำเป็นที่สุดในการแก้ไขอาการดังกล่าว ซึ่งก็ต้องทำควบคู่ไปกับการควบคุมอาหาร การออกกำลังกายและการดูแลสุขภาพในด้านอื่นๆ ที่ถูกต้องในหัวข้อต่อๆ ไป

    ควบคุมการรับประทานอาหารกลางดึก

    สำหรับหลักในการรับประทานอาหารที่ถูกต้องของผู้ป่วยที่มีอาการนอนกรนจะต้องเริ่มจากการหยุดกินในเวลาก่อนนอนประมาณ 3 ชั่วโมง และงดการดื่มแอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้กล้ามเนื้อคอหย่อนคล้อยกว่าปกติ และเป็นสาเหตุหนึ่งของการมีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) เกินเกณฑ์มาตรฐานได้อีกด้วย

    หมั่นออกกำลังกาย

    นอกจากจะเป็นวิธีที่ช่วยลดน้ำหนักและรักษาหุ่นให้สวยเพรียวได้สมใจแล้ว การออกกำลังกายยังสามารถช่วยลดอาการนอนกรนได้เนื่องจากกล้ามเนื้อที่ดึงรั้งช่องทางเดินหายใจมีความแข็งแรงขึ้น ทำให้เนื้อเยื่อภายในปากของเราไม่หย่อนลงมาขัดขวางทางเดินหายใจนั่นเอง

    งดสูบบุหรี่

    เพราะบุหรี่มีสารที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งปอดและเป็นสาเหตุให้คัดจมูก รวมถึงอาการหายใจไม่สะดวกได้ ดังนั้นใครที่มีอาการกรนและอยากรักษาให้หายก็ควรที่จะงดการสูบบุหรี่ก่อนเวลานอนให้เป็นนิสัย[/vc_column_text][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_column_text]4. หาเทคโนโลยีช่วยแก้นอนกรน

    สำหรับใครที่ใจร้อนอยากจะหาตัวช่วยในการแก้ไขปัญหานอนกรน ในปัจจุบันนี้ก็มีนวัตกรรมต่างๆ ที่ช่วยทำให้อาการนอนกรนทุเลาลงได้จากการปรับสภาพอากาศ ปรับวิธีการหายใจ และบางเครื่องมือยังช่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการนอนที่เป็นผลเสียกับร่างกายได้ด้วย

    เช่น การเปิดเครื่องช่วยเพิ่มความชื้นในอากาศเพื่อแก้ปัญหาอากาศแห้งซึ่งเป็นสาเหตุของการตีบแคบลงของทางเดินหายใจ การใช้แผ่นแปะจมูกหรือตัวถ่างจมูกในขณะนอนหลับ จะช่วยเพิ่มพื้นที่ทางเดินหายใจในจมูก ทำให้หายใจได้สะดวกขึ้น เป็นต้น[/vc_column_text][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_column_text]5. เข้าพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

    แต่ถ้าคุณมีอาการกรนที่อยู่ในขั้นอันตราย เช่น มีอาการหยุดหายใจในขณะที่นอนหลับร่วมด้วย ขอแนะนำให้รีบพบแพทย์โดยด่วน เพื่อขอรับคำปรึกษาเกี่ยวกับสาเหตุของอาการนอนกรนว่าจริงๆ แล้วมีที่มาจากโรคอื่นๆ หรือเป็นเพราะพฤติกรรมที่คุณทำในชีวิตประจำวันกันแน่

     

    ซึ่งถ้าหากเกิดจากโรคประจำตัว หรือโรคที่เกิดจากพฤติกรรมการทำงานอย่างโรคในกลุ่มออฟฟิศซินโดรม ก็ควรที่จะรีบรักษาอาการของโรคเหล่านี้ให้หายขาดเสียก่อน เพื่อป้องกันการลุกลามของโรค และเป็นการรักษาอาการนอนกรนได้ในทางอ้อมอีกด้วย[/vc_column_text][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_column_text]


    ที่มา : cigna[/vc_column_text][/vc_column][/vc_row]

  • การนอนที่ดีมีคุณภาพ ต้องนอนอย่างไร

    การนอนที่ดีมีคุณภาพ ต้องนอนอย่างไร

    [vc_row][vc_column][vc_empty_space height=”20px”][vc_column_text]          ปริมาณการนอนไม่ได้บ่งบอกถึงคุณภาพการนอนที่ดี การนอนหลับไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่จำนวนชั่วโมงในการนอน แต่การนอนหลับได้ลึกและเวลาที่เข้านอน ก็มีความสำคัญเช่นกัน

     

               นอนดีมีคุณภาพ คือ นอนหลับได้ลึก ตื่นมาสดชื่น เพราะร่างกายจะซ่อมแซมตัวเอง ทำให้ไม่แก่ ไม่ป่วยง่าย ตื่นมาสดชื่น และส่งผลให้อายุยืนยาว[/vc_column_text][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_column_text][/vc_column_text][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_column_text]Awake

    ช่วงตื่น เป็นช่วงปกติที่เกิดขึ้นระหว่างการนอน เป็นช่วงสั้นๆที่ตื่นขึ้นมาในระหว่างการหลับ[/vc_column_text][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_column_text]REM

    ช่วงหลับฝัน ถือเป็นช่วงที่มีการฟื้นฟูสภาพจิตใจและสร้างความทรงจำ[/vc_column_text][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_column_text]Light

    ช่วงหลับตื้น เป็นช่วงที่ร่างกายจะได้รับการพักผ่อนที่สุด และเป็นช่วงสร้างการเรียนรู้[/vc_column_text][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_column_text]Deep 

    ช่วงหลับลึก เป็นช่วงเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน สร้างความแข็งแรง ซ่อมแซมกล้ามเนื้อและเซลล์ส่วนที่สึกหรอของร่างกาย[/vc_column_text][vc_row_inner][vc_column_inner][vc_empty_space height=”10px”][vc_column_text]

    ” เพราะการนอนคือพื้นฐานการใส่ใจตัวเองที่ดี “

    [/vc_column_text][/vc_column_inner][/vc_row_inner][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_column_text]


    ที่มา : p80naturalessence[/vc_column_text][/vc_column][/vc_row]

  • รู้ทัน! Covid-19 ไวรัสโคโรนา 2019

    รู้ทัน! Covid-19 ไวรัสโคโรนา 2019

    [vc_row][vc_column][vc_column_text]

                วินาทีนี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก “ ไวรัสโควิด 19 (Covid-19) ” หรือ “ ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 ” ที่กำลังระบาดหนักอยู่ขณะนี้ กลุ่มไวรัสโคโรน่านั้น ถูกค้นพบครั้งแรกเมื่อประมาณปี ค.ศ. 1960 ทำให้เกิดไข้หวัดทั่วไป แต่ไม่ได้มีอาการรุนแรงมาก ล่าสุดพบที่เมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย์ ประเทศจีน ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นสายพันธุ์ใหม่ต่างจากที่เคยเจอมาก่อน มีอาการตั้งแต่เล็กน้อย ปานกลาง ถึงรุนแรง และมีการแพร่กระจายเชื้อได้

    ดังนั้นในวันนี้เราจะพาไปทำความเข้าใจและ วิธีป้องกันไวรัสโควิด 19 ให้มากยิ่งขึ้น

    [/vc_column_text][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_column_text][/vc_column_text][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_column_text]

                  ไวรัสโควิด 19 (Covid-19) คือเชื้อไวรัสที่มีรูปร่างคล้ายมงกุฎ พบครั้งแรกกลางทศวรรษที่ 1960 โดยมีเชื้อไวรัสโคโรน่าอยู่ 4 สายพันธุ์ใหญ่ ๆ ด้วยกัน แต่ตัวที่ระบาดมากที่สุดคือ SARS-CoV พบครั้งแรกที่ประเทศจีน ปี ค.ศ. 2002-2003 ซึ่งได้ระบาดไปทั่วโลกและมีอัตราการเสียชีวิตสูง ต่อมาพบเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ MERS-CoV เกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศซาอุดีอาระเบีย ในแถบตะวันออกกลาง

    [/vc_column_text][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_column_text]

                  จนกระทั่งล่าสุดพบ “เชื้อไวรัสโควิด 19 หรือ ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019” ที่เมืองอู่ฮั่น เมืองหลวงของมณฑลหูเป่ย์ ตอนกลางของประเทศจีน โดยบริเวณที่พบผู้ป่วยมากที่สุดและคาดว่าน่าจะเป็นรังของโรค คือ ตลาดอาหารทะเลและสัตว์หายากในเมือง ซึ่งได้แพร่กระจายไปในหลายเมืองในประเทศจีนและหลายประเทศ เช่น ไทย เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา เป็นต้น

    [/vc_column_text][vc_column_text]

                   โดยเฉพาะในประเทศไทยเอง ผู้ป่วยรายแรกที่พบนั้นเป็นนักท่องเที่ยวหญิงชาวจีนอายุ 61 ปี จากเมืองอู่ฮั่น ซึ่งมีอาการไข้หนาวสั่น ปวดศีรษะและเจ็บคอ สามวันก่อนเดินทางมาที่ประเทศไทย ต่อมาได้เดินทางมาพร้อมครอบครัวเพื่อท่องเที่ยว เมื่อเดินผ่านเครื่องตรวจจับความร้อนที่สนามบิน (thermo scan) จึงพบว่ามีไข้ และถูกส่งตัวไปนอนรักษาที่โรงพยาบาลทันที อีกสองวันต่อมา ทางโรงพยาบาลสามารถแยกเชื้อโดยวิธีการทางโมเลกุลได้ว่าเป็นเชื้อ “ไวรัสโควิด 19” จึงรายงานไปที่องค์การอนามัยโลก และประเทศไทยได้ประกาศว่าเป็นประเทศแรกนอกเหนือจากประเทศจีน ที่มีผู้ป่วยไวรัสโควิด 19

    [/vc_column_text][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_column_text]

    [/vc_column_text][vc_column_text]วิธีสังเกตอาการ (Covid-19)

                 หากได้รับเชื้อไวรัสโควิด 19 ผู้ป่วยจะเริ่มแสดงอาการออกมาภายใน 1 วัน ถึง 2 สัปดาห์ หลังจากได้รับเชื้อ โดยอาการเริ่มแรกของผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสโควิด 19 นั้น ส่วนใหญ่จะเริ่มจากการมีไข้ ไอ เจ็บคอ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ หายใจหอบเหนื่อย ถ่ายเหลวท้องเสีย หากผู้ป่วยมีร่างกายไม่แข็งแรงหรือมีภูมิคุ้มกันต่ำ จะทำให้มีความรุนแรงถึงขั้นวิกฤตและเสียชีวิตได้

    [/vc_column_text][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_column_text][/vc_column_text][vc_column_text]วิธีป้องกัน (Covid-19)

    เบื้องต้นทุกคนสามารถป้องกันตัวเองและคนรอบข้างให้ห่างไกลจากเชื้อไวรัสโควิด 19 ได้ดังนี้

    1. เลี่ยงการใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่มีอาการไอ จาม น้ำมูกไหล เหนื่อยหอบ เจ็บคอ
    2. เลี่ยงการเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยง โดยเฉพาะเมืองอู่ฮั่นที่เป็นรังโรค และเมืองอื่น ๆ ในประเทศจีนที่มีการระบาด
    3. ระวังการสัมผัสพื้นผิวที่ไม่สะอาด และอาจมีเชื้อโรคเกาะอยู่
    4. ควรล้างมือให้สม่ำเสมอด้วยสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจลอย่างน้อย 20 วินาที
    5. งดจับตา จมูก ปากขณะที่ไม่ได้ล้างมือ
    6. เลี่ยงการใกล้ชิด สัมผัสสัตว์ต่าง ๆ โดยที่ไม่มีการป้องกัน
    7. ทานอาหารสุก สะอาด ใช้ช้อนกลาง ไม่ทานอาหารที่ทำจากสัตว์หายาก
    8. ควรดูแลสุขภาพ ออกกำลังกายและพักผ่อนให้เพียงพอ
    9. หลังจากกลับจากต่างประเทศภายใน 14 วัน หากมีอาการป่วยควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว และแจ้งรายละเอียดว่าเราเคยไปต่างประเทศมาแม้ว่าประเทศนั้นจะไม่มีการติดเชื้อก็ตาม
    10. สำหรับบุคลากรทางการแพทย์หรือผู้ที่ต้องดูแลผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสโควิด 19 โดยตรง ควรใส่หน้ากากอนามัย หรือใส่แว่นตานิรภัย เพื่อป้องกันเชื้อในละอองฝอยจากเสมหะหรือสารคัดหลั่งเข้าตา

    [/vc_column_text][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_column_text]คําแนะนําเพิ่มเติม

    1. ในช่วงเวลานี้ควรงดเข้าร่วมกิจกรรมทุกชนิด หรือลางานและไปพบแพทย์หากตนเองมีอาการป่วนของโรคระบบทางเดินหายใจทันที
    2. ก่อนเข้าร่วมกิจกรรมทุกชนิด ควรจัดเตรียมหน้ากากอนามัยพร้อมกับแอลกอฮอล์แบบเจลให้ เพียงพอสำหรับตัวเองนอกจากนี้ควรล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่หรือแอลกอฮอล์เจล ควรการสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาที่ออกจากบ้าน
    3. หากพบว่าตนเองมีอาการป่วยตามเกณฑ์ ควรรีบติดต่อขอเข้ารับการตรวจรักษาตามขั้นตอน โรงพยาบาลที่รับตรวจCovid-19 และหากอาการป่วยเกี่ยวกับโรคในระบบทางเดินหายใจควรงดเข้าร่วมกิจกรรมและลางานทันที
    4. หากสังเกตเห็นเพื่อนร่วมงานและคนรอบข้างมีอาการไข้ ไอ จาม มีน้ำมูก ผิดปกติ ควรแนะนำให้ผู้มีอาการรับการตรวจตามขั้นตอน หรือไป โรงพยาบาลที่รับตรวจCovid-19
    5. ควรหลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับผู้มีอาการป่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยที่มีอาการโรคในระบบทางเดิน หายใจที่ไม่ป้องกันตนเอง หรือกลุ่มที่พึงกลับมาจากประเทศที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ

    [/vc_column_text][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_column_text]ทั้งนี้ทั้งนั้นควรติดตามข่าว Covid-19 ไวรัสโคโรนา 2019 อยู่ตลอด และควรเชื่อข่าวที่เชื่อถือได้ มีการยืนยันแล้วนะคะ[/vc_column_text][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_column_text]


    ที่มา : MoneyGuru[/vc_column_text][/vc_column][/vc_row]

  • 6 เคล็ดลับดูแลผิวลูกน้อย

    6 เคล็ดลับดูแลผิวลูกน้อย

    [vc_row][vc_column][vc_column_text]ผิวของเด็กมีความละเอียดอ่อนและบอบบางกว่าผิวของผู้ใหญ่ถึง 10 เท่า จึงจำเป็นต้องมีการดูแลเอาใจใส่และบำรุงผิวพรรณของลูกน้อยให้แข็งแรงมีสุขภาพดี วันนี้ Acmebell มี 6 เคล็ดลับดูแลผิวลูกน้อย ให้มีผิวสวยสุขภาพดี ดูแลได้ไม่ยาก ด้วยวิธีจากธรรมชาติที่คุณพ่อคุณแม่ก็สามารถทำได้ที่บ้าน เรามาดูกันเลย[/vc_column_text][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_column_text][/vc_column_text][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_column_text]1. นวดผิวลูกด้วยน้ำมันอโรมา[/vc_column_text][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_column_text]

                การนวดกระตุ้นด้วยน้ำมันอุ่นๆ เป็นเคล็ดลับบำรุงผิวแบบโบราณที่ทำให้ผิวกระจ่างใส เนียนนุ่ม และชุ่มชื้น วิธีนี้เป็นการเคลือบเพิ่มชั้นความชุ่มชื้นให้แก่ผิวที่บอบบางของลูกน้อย และยังช่วยปรับสมดุลของน้ำมันในเซลล์ผิวอีกด้วย หากนวดน้ำมันอุ่นๆ เป็นประจำ ผิวลูกน้อยจะเปล่งประกายสดใส ผิวขาวอมชมพู ส่วนน้ำมันที่เหมาะสำหรับนวดผิวลูกน้อย ได้แก่ น้ำมันอัลมอนด์ น้ำมันมะกอก เป็นต้น

    [/vc_column_text][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_column_text]2. ใช้ครีมบำรุงผิวสูตรอ่อนโยน[/vc_column_text][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_column_text]

                 เนื่องจากเด็กมีผิวที่บอบบางกว่าผิวผู้ใหญ่ถึง 10 เท่า จึงจำเป็นต้องดูแลและบำรุงผิวของลูกน้อยเป็นพิเศษ ด้วยการทามอยส์เจอไรเซอร์ หรือครีมบำรุงผิวสูตรอ่อนโยนสำหรับเด็กโดยเฉพาะ ทาวันละ 3-4 ครั้ง จะช่วยบำรุงผิวลูกให้มีความชุ่มชื้น และมีความกระจ่างใสมากขึ้นค่ะ หรือใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวสูตรธรรมชาติที่สามารถทำได้เอง โดยใช้ขมิ้น ผงไม้จันทน์ หญ้าฝรั่น และนมสด ผสมจนเข้ากันแล้วทาบาง ๆ ลงบนผิวลูก ทิ้งไว้ให้แห้งประมาณ 10-15 นาที แล้วใช้สำลีชุบน้ำเช็ดออกช้า ๆ  โดยสูตรนี้จะช่วยให้ผิวลูกน้อยเนียนใส และยังช่วยป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายด้วยค่ะ

    [/vc_column_text][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_column_text]3. ใช้สบู่หรือครีมอาบน้ำสำหรับเด็ก[/vc_column_text][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_column_text]

                   การอาบน้ำให้ลูกด้วยสบู่ธรรมดาที่มีฤทธิ์รุนแรงเกินไปอาจทำให้ผิวของลูกแห้งและลอกได้ ทางที่ดีควรใช้สบู่หรือครีมอาบน้ำสำหรับเด็กที่มีสูตรอ่อนโยนต่อสภาพผิว

    [/vc_column_text][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_column_text]4. ควบคุมอุณหภูมิน้ำให้เหมาะ[/vc_column_text][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_column_text]

                    ข้อนี้ถือว่าสำคัญมากในการอาบน้ำให้ลูกน้อย เพราะหากอาบน้ำด้วยอุณหภูมิที่ร้อนหรือเย็นเกินไป อาจทำร้ายผิวที่บอบบางของลูกได้ โดยเฉพาะน้ำที่อุ่นจัดหรือเย็นจัดอาจทำให้ผิวของลูกมีสีคล้ำลงได้ค่ะ คุณพ่อคุณแม่จึงควรทดสอบอุณหภูมิน้ำก่อนอาบให้ลูกทุกครั้ง ด้วยการหยดน้ำลงบนผิวตัวเอง โดยอุณหภูมิที่เหมาะสม คือ อุ่นพอประมาณ ซึ่งจะช่วยให้ลูกรู้สึกผ่อนคลาย สบายตัวมากขึ้นค่ะ

    [/vc_column_text][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_column_text]5. ขัดผิวให้ลูกน้อย[/vc_column_text][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_column_text]

                     การขัดผิวเบา ๆ จะช่วยขจัดเซลล์ผิวที่แห้งออกไป แถมยังช่วยให้ผิวนุ่มและดูสดใสขึ้น นอกจากนี้คุณพ่อคุณแม่ยังสามารถทำครีมขัดผิวสูตรธรรมชาติ โดยใช้แป้งถั่วลูกไก่ (แป้งกรัม) น้ำดอกกุหลาบ นมสด และเบบี้ออยล์ ผสมให้เข้ากัน ใช้ขัดวนและนวดผิวลูกเบา ๆ จะช่วยขจัดสิ่งสกปรกออกจากผิวหนัง และยังช่วยให้ผิวของลูกเนียนนุ่มกระจ่างใสยิ่งขึ้นค่ะ

    [/vc_column_text][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_column_text]6. ให้ลูกรับแสงแดดอ่อนๆ[/vc_column_text][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_column_text]

                 ควรพาลูกน้อยออกมารับสายลมและแสงแดดอ่อน ๆ ในตอนเช้าเป็นประจำ เพื่อให้ร่างกายได้รับวิตามินดีจากธรรมชาติ

    [/vc_column_text][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_column_text]

                      เพื่อผิวที่สุขภาพดีของลูกน้อย คุณพ่อคุณแม่สามารถนำเคล็ดลับเหล่านี้มาปรับใช้ได้นะคะ อ่อนโยนต่อผิวเด็กแต่ดีต่อผิวเด็กมากๆ ค่ะ แล้วอย่าลืมดูแลสุขภาพลูกน้อยให้แข็งแรงควบคู่กันไปด้วยนะคะ ^^

    [/vc_column_text][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_column_text]


    ที่มา : Kapook[/vc_column_text][/vc_column][/vc_row]

  • เคล็ดลับการนอนเพื่อให้มีสุขภาพที่ดี

    เคล็ดลับการนอนเพื่อให้มีสุขภาพที่ดี

    [vc_row][vc_column][vc_column_text]นิสัยการนอนหลับที่ดีสามารถสร้างความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดของคุณภาพชีวิต พฤติกรรมการนอนหลับที่ดีต่อสุขภาพถูกอ้างถึงว่ามีสุขอนามัยการนอนหลับที่ดี พยายามที่จะรักษาการนอนหลับต่อไปนี้บนพื้นฐานที่สอดคล้องกัน[/vc_column_text][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_column_text]

    1. ทำตารางเวลาการนอนและตื่นนอนในทุกๆวันเหมือนกันแม้ในวันหยุด สิ่งนี้จะช่วยควบคุมนาฬิกาของร่างกายและช่วยให้คุณนอนหลับตลอดทั้งคืน

    [/vc_column_text][vc_column_text]

    [/vc_column_text][vc_column_text]

    1. ฝึกทำให้ตัวเองผ่อนคลาย มองหากิจกรรมที่ทำให้ผ่อนคลายก่อนเข้านอน หลีกเลี่ยงแสงสว่าง ที่ทำให้ช่วยคุณแยกเวลานอนของคุณออกจากกิจกรรมต่างๆ ที่อาจทำให้เกิดความตื่นเต้น ความเครียดหรือความวิตกกังวลซึ่งทำให้นอนหลับได้ยากขึ้นหรือนอนหลับไม่สนิท

    [/vc_column_text][vc_column_text]

    1. หากคุณมีปัญหาในการนอนหลับให้หลีกเลี่ยงการงีบหลับ โดยเฉพาะในช่วงบ่าย งีบหลับระหว่างวัน อาจช่วยคุณได้ แต่หากคุณพบว่าคุณไม่สามารถที่จะงีบหลับระหว่างวันได้ ลองเปลี่ยนเป็นงีบหลับที่สั้นลงก็อาจจะช่วยได้

    [/vc_column_text][vc_column_text]

    [/vc_column_text][vc_column_text]

    1. ออกกำลังกายทุกวัน การออกกำลังกายมากๆนั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่การออกกำลังกายบางไม่ออกบ้างก็ยังดีกว่าไม่ออกกำลังกายเลย สามารถออกกำลังกายในเวลาใดก็ได้ ที่ไม่เบียดเบียนเวลานอน

    [/vc_column_text][vc_column_text]

    1. สำรวจห้องของคุณ ออกแบบสภาพห้องนอนของคุณ เพื่อกำหนดเงื่อนไขที่คุณต้องการสำหรับการนอนหลับ ห้องนอนของคุณควรจะมีอุณกภูมิเย็น ในช่วงระหว่าง 20 และ 25 องศา ห้องนอนของคุณควรปลอกจากจากเสียงรบกวน ที่อาจรบกวนการนอนหลับของคุณ และห้องนอนของคุณควรจะปลอดจากแสงใดๆด้วยเช่นกัน

    [/vc_column_text][vc_column_text]

    1. นอนบนที่นอนและหมอนที่สบาย เช็คให้แน่ใจว่าที่นอนของคุณนุ่มสบายและซัตพอตการนอนของคุณไหม ที่นอนที่คุณใช้มานานหลายปีที่เกินอายุการใช้งาน ที่อยู่ในช่วงประมาณ 9 หรือ 10 ปี เป็นที่นอนที่ดีเลยที่เดียว เตียงที่น่านอนต้องมีหมอนที่นุ่มสบาย มีห้องน่าดึงดูดใจและชวนให้หลับไหล อีกทั้งยังต้องปราศจากสารก่อภูมิแพ้ที่อาจส่งผลกระทบต่อคุณ สิ่งของที่เกะกะอาจทำให้คุณลื่นล้มได้ หากคุณต้องลุกขึ้นในตอนกลางคืน

    [/vc_column_text][vc_column_text]

    [/vc_column_text][vc_column_text]

    1. หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ บุหรี่และอาหารมื้อหนักในตอนเย็น แอลกอฮอล์ บุหรี่และคาเฟอีนอาจส่งผลต่อการนอนหลับยาก การทานอาหารมื้อใหญ่หรือเผ็ด อาจทำให้รู้สึกไม่สบายท้องจากอาหารไม่ย่อยที่ทำให้นอนหลับยาก หากทำได้ให้หลีกเลี่ยงการทานอาหารมื้อใหญ่ก่อนนอน 2-3 ชั่วโมง ลองหาของว่างเบา ๆกินก่อนเข้านอนสัก 45 นาที หากคุณหิวจริงๆ

    [/vc_column_text][vc_column_text]

    1. ไขลานตัวเราเอง ร่างกายของคุณต้องการเวลาเข้าสู่โหมดนอนหลับ ดังนั้นใช้เวลา 1 ชั่วโมงก่อนนอนทำกิจกรรมที่ทำให้คุณมีสมาธิ เช่น การอ่าน สำหรับบางคนการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น แล็ปท็อปอาจทำให้นอนหลับยากเพราะแสงบางชนิดที่ออกมาจากหน้าจอของอุปกรณ์เหล่านี้ ทำให้นสมองเปิดใช้งาน หากคุณมีปัญหาในการนอนหลับให้หลีกเลี่ยงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ก่อนเข้านอน

    [/vc_column_text][vc_column_text]

    [/vc_column_text][vc_column_text]

    1. หากคุณยังคงมีปัญหากับการนอน อย่าลังเลที่จะเข้าไปพบแพทยหรือผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับ คุณอาจได้รับประโยชน์จากการบันทึกการนอนของคุณในสมุดบันทึกการนอนหลับ เพื่อช่วยให้คุณประเมินพฤติกรรมการนอนหรือปัญหานิสัยการนอนหลับของคุณ

    [/vc_column_text][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_column_text]ที่มา : sleepfoundation.org[/vc_column_text][/vc_column][/vc_row]

  • วิธีป้องกันไวรัสโคโรน่า

    วิธีป้องกันไวรัสโคโรน่า

    [vc_row][vc_column][vc_column_text]ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “โรคอู่ฮั่น” ที่กำลังระบาดอยู่ในขณะนี้ มีความรุนแรงเทียบเท่ากับโรคซาร์สมากที่สุด ทำให้ผู้ป่วยมีอาการปอดอักเสบรุนแรงจนถึงแก่ชีวิตได้ องค์การอนามัยโลก ยังไม่สามารถหาที่มาของเชื้ออย่างชัดเจนได้ แต่สันนิษฐานว่าอาจจะมาจากเนื้อสัตว์ป่าที่ซื้อขายอยู่ และปัจจุบันเชื้อไวรัสนี้สามารถแพร่กระจายจากคนสู่คนได้แล้ว จากการถูกไอ จาม หรือสัมผัสกับสารคัดหลั่งของคนที่ป่วย ดังนั้น เราควรดูแลตนเองเพื่อให้ร่างกายห่างไกลจากเชื้อไวรัสโคโรน่า โดยมีวิธีการรับมือ ดังนี้[/vc_column_text][vc_column_text][/vc_column_text][vc_column_text]

    1. เชื้อไวรัสนี้ติดต่อผ่านทางลมหายใจ สารคัดหลั่ง เช่น น้ำมูก น้ำลาย ควรใส่หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกัน
    2. เชื้อไวรัสโคโรน่าติดต่อในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เนื้อสัตว์ เช่น เนื้อหมู เนื้อวัว ควรทานแบบสุกเท่านั้น
    3. ควรทานอาหารที่สุกแล้ว งดอาหารดิบ และเนื้อสัตว์ป่า
    4. หมั่นล้างมือหรือเช็ดด้วยแอลกอฮอล์
    5. ไม่อยู่ใกล้ชิดผู้ป่วยที่ไอ จาม
    6. หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่แออัด และมีมลภาวะเป็นพิษ
    7. งดเดินทางไปยังพื้นที่เสี่ยงโรคระบาด
    8. ไม่นำมือมาสัมผัสตา จมูก ปาก ถ้าไม่จำเป็น
    9. ไม่ใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าเช็ดหน้า แก้วน้ำ ฯลฯ
    10. ถ้ามีอาการไข้ มีอาการระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก หายใจเหนื่อยหอบ ให้สวมหน้ากากอนามัย และรีบไปพบแพทย์ทันที

    [/vc_column_text][vc_column_text]ดูแลสุขภาพกันด้วยนะคะ เวลาออกนอกบ้าน ไม่ว่าจะไปใกล้หรือไกล ทุกคนควรสวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งนะคะ[/vc_column_text][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_column_text]ที่มา : sikarin[/vc_column_text][/vc_column][/vc_row]

  • สถานที่เหมาะสำหรับนอนงีบ

    สถานที่เหมาะสำหรับนอนงีบ

    [vc_row][vc_column][vc_column_text]การนอนงีบหลับไม่ได้เป็นการทดแทนการนอนหลับตอนกลางคืน แต่เมื่อไหร่ที่คุณมีแพลนต้องเดินทางหรือมีการเปลี่ยนเวลาทำงานเป็นกะ รวมถึงเมื่อคุณน้อยนอนพักผ่อนไม่เพียงพอ การนอนงีบหลับสามารถช่วยคุณได้ การงีบเหมือนกับการชาร์ตแบตเตอรี่รถยนต์ มันจะไม่คงอยู่ถาวร แต่สามารถทำให้รถนั้นวิ่งบนถนนได้จนกว่าคุณจะนำเครื่องยนต์นั้นเข้าอู่ซ่อมรถ เคล็ดลับในการงีบหลับที่มีประสิทธิภาพต่อการทำงานของร่างกาย มีดังนี้[/vc_column_text][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_column_text]บ้านที่แสนอบอุ่น [/vc_column_text][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_column_text]

                 ท้ายสุดแล้ว ในทุกๆวันคุณต้องกลับไปเตียงนอน คุณนอนมากกว่าทำสิ่งอื่นมากกว่าจริงไหม? จริงๆแล้วมันขึ้นอยู่กับจำนวนชั่วโมงการนอนที่คุณนั้นต้องการ ห้องนอนคุณนั้นอาจไม่ได้ปกป้องแสงเข้ามากเท่าที่ควร ทำให้นอนหลับยาก และในระหว่างวัน เพื่อนร่วมห้องคุณหรือคนในครอบครัวอาจจะส่งเสียงดังรบกวน ความสุขหรือความสงบเงียบของคุณ  แนะนำให้คุณหาผ้าม่อนทึบๆไว้ในห้องและวาง white noise ไว้ใกล้ตอนนอนเพื่อกลบเสียงรบกวนนั้น

    [/vc_column_text][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_column_text]ระหว่างชั้นเรียน [/vc_column_text][vc_column_text][/vc_column_text][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_column_text]

                  ด้วยจำนวนวิทยาลัยที่เพิ่มขึ้นทั่วสหรัฐอเมริกา นักเรียนบางวิทยาลัยโชคดีสามารถเข้านอนในห้องงีบหลับได้ในเวลาพักเรียน เป็นโซนที่ไร้เสียงรบกวน ซึ่งมีผู้ดูแลอยู่ ได้ตระหนักดีว่าการนอนหลับที่ไม่ดีมีผลต่อการเรียนของนักเรียน ได้มีการตั้งเวลาปลุก เพื่อให้คุณนอนหลับได้เพียง 20 ถึง 30 นาที นั่นคือจำนวนการนอนหลับที่สมบูรณ์แบบ สำหรับการชาร์จพลังของคุณ

    [/vc_column_text][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_column_text]กลางแจ้งในอากาศบริสุทธิ์[/vc_column_text][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_column_text]

                  ในขณะที่แสงจ้าและเสียงนกร้องที่เหมาะสำหรับการนอนหลับ กับสายลมอ่อนๆ สามารถพักผ่อนได้อย่างสบายๆ  และความเย็นสบายของอากาศสามารถช่วยให้ร่างกายเตรียมพร้อมสำหรับการงีบหลับ ผ้าห่มสามารถช่วยให้เราสบายขึ้น และผ้าปิดตาหรืออย่างน้อยสวมแว่นกันแดดเพื่อลดแสงรอบข้าง

    [/vc_column_text][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_column_text]ที่ทำงาน[/vc_column_text][vc_column_text][/vc_column_text][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_column_text]

                    หากคุณมีห้องทำงานส่วนตัว ที่คุณสามารถปิดประตู ปิดคอมพิวเตอร์ เพื่อหลับตาแล้วงีบหลับ คุณอาจมีหมอนและผ้าห่มไว้ในตู้หรือลิ้นชักโต๊ะทำงานของคุณให้พร้อม แต่หากคุณทำงานในห้องเล็กๆ หรือพื้นที่ทำงานร่วมกับผู้อื่น(พื้นที่แบบเปิด) ลองมองหาห้องประชุมสำหรับการนอนงีบของคุณ

    [/vc_column_text][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_column_text]ที่ยิม[/vc_column_text][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_column_text]

                   โรงยิมหลายแห่งมีห้องรับรองพร้อมเก้าอี้ที่เหมาะสำหรับการพักผ่อนก่อนออกกำลังกาย บางที่จะมีห้องนั้นว่างแยกออกมาจากห้องออกกำลังกายของคุณ คุณสามารถนำแผ่นโยคะมานอนงีบหลับได้ พร้อมทำไฟสลัวๆ การนอนหลับยังส่งผลทำให้ร่างกายปรับตัวต่อการเรียนรู้ได้เร็ว

    [/vc_column_text][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_column_text]


    ที่มา : sleepfoundation.org/articles[/vc_column_text][/vc_column][/vc_row]

  • หมอนที่เหมาะสมกับท่านอน

    หมอนที่เหมาะสมกับท่านอน

    [vc_row][vc_column][vc_column_text]

    หมอนที่เหมาะสมกับท่านอน 

    เมื่อพูดถึงหมอน หมอนรูปแบบเดียวคงไม่เหมาะสมกับสรีระของทุกคน แต่ละคนมีสรีระแตกต่างกันออกไป ทำให้มีความต้องการหมอนคนละแบบ รวมถึงสไตส์การนอนที่แตกต่างกัน ในรูปแบบของหมอนที่เหมาะสมกับการรองรับของแต่ละบุคคล และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบนอนตะแคง ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบนอนตะแคง คุณจำเป็นต้องการรองรับเป็นพิเศษ เพื่อรองรับช่วงไหล่ระหว่างคอและที่นอนพอดีกัน

                   ถ้าถามว่าหมอนแบบใดดีที่สุดสำหรับผู้นอนตะแคง? เจนนิเฟอร์ หมอจับเส้นที่สถาบันเลเซอร์กระดูกสันหลัง กล่าวว่า “ กฎสำคัญคือให้หูของคุณอยู่ในแนวเดียวกันกับไหล่ของคุณในทุกตำแหน่งที่คุณต้องการนอน และต้องให้หมอนที่กระชับกว่านี้” “หมอนเมมโมรี่โฟมหรือหมอนเจลเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ซึ่งมีให้เลือกมากมายในตลาดในปัจจุบัน” ซึ่งเราอยากแนะนำหมอนที่เหมาะสำหรับการนอนของแต่ละสรีระให้กับคุณ เพื่อสุขลักษณะการนอนที่ถูกต้องและดีต่อสุขภาพ คุณสามารถดูได้ว่าสรีระของคุณเหมาะสมกับหมอนแบบไหน จากบทความข้างล่าง ดังต่อไปนี้[/vc_column_text][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_column_text]CURVE PILLOW[/vc_column_text][vc_column_text][/vc_column_text][vc_column_text][/vc_column_text][vc_column_text]ด้วยคุณสมบัติของ MEMORY FOAM ปลอกหมอนหุ้มด้วยผ้า VELOUR และ BIO MEMORY FOAM ปลอกหมอนหุ้มด้วยผ้า ORGANIC COTTON 100% ที่จะช่วยกระจายแรงกดทับ เมื่อหนุนนอน ช่วยจัดเรียงกระดูกต้นคอ และกระดูกสันหลังเรียงติดกันได้รูป ให้ถูกสรีระขณะนอนหลับ ไม่กดทับเส้นโลหิต และเส้นประสาท รู้สึกผ่อนคลาย ทำให้การนอนหลับของคุณสบายยิ่งขึ้น ลดอาการนอนตกหมอน เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบนอนตะแคง และนอนหงาย อายุการใช้งานยาวนาน ไม่ลีบ ไม่แบนพร้อมปลอกหมอนกันเปื้อน สามารถถอดซักได้

    [/vc_column_text][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_column_text]KING SIZE PILLOW[/vc_column_text][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column width=”1/2″][vc_column_text][/vc_column_text][/vc_column][vc_column width=”1/2″][vc_column_text]

    [/vc_column_text][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_column_text]ผู้ที่ชอบหนุนนอนหมอนที่มีรูปทรงใหญ่ และมีความนุ่มแน่น สบาย ด้วยรูปทรงที่ใหญ่ จะมีประสิทธิภาพในการรองรับศีรษะ ต้นคอ และหัวไหล่ เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบนอนหงาย ลดอาการปวดศีรษะ จะทำให้คุณผ่อนคลายเวลานอนได้อย่างดีเยี่ยม กระจายแรงกดทับได้อย่างสมบูรณ์ ทำให้คุณหลับสบายตลอดทั้งคืน ปลอกหมอนหุ้มด้วยผ้า VELOUR[/vc_column_text][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_column_text]NARACHA PILLOW[/vc_column_text][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_column_text]

    [/vc_column_text][vc_column_text]

    [/vc_column_text][vc_column_text]ผู้ที่ชอบหนอนหงาย และนอนตะแคง ชอบในความนุ่ม สบาย และแน่น ของ BIO MEMORY FOAM รองรับศีรษะอย่างเป็นอิสระ ซึ่งจะให้ความรู้สึกเหมือนกับหมอนนุ่น แต่หมอน Naracha จะเด่นกว่าในเรื่องของความสบายและอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าตัวหมอนนุ่นในตลาด[/vc_column_text][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_column_text]BEAN PILLOW[/vc_column_text][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column width=”1/2″][vc_column_text]

    [/vc_column_text][/vc_column][vc_column width=”1/2″][vc_column_text][/vc_column_text][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_column_text]หมอนจะมีรูปร่างเหมือนถั่ว ออกแบบมาเพื่อรองรับต้นคอ และมีส่วนเว้า เพื่อรองรับไหล่ และควบคุมอาการตกหมอนได้เป็นอย่างดี ช่วยให้หลอดลมเป็นเส้นตรงไม่โดนกดทับ ลดอาการนอนกรน และทำให้หายใจสะดวกขึ้น นุ่มสบาย กระจายแรงกดทับได้อย่างลงตัว เหมาะสำหรับผู้นอนที่ชอบ นอนหงาย และนอนตะแคง[/vc_column_text][/vc_column][/vc_row]

  • 8 สิ่งมงคลเสริมฮวงจุ้ยรับปี 2563 ที่ต้องมีติดบ้าน

    8 สิ่งมงคลเสริมฮวงจุ้ยรับปี 2563 ที่ต้องมีติดบ้าน

    [vc_row][vc_column][vc_column_text]สิ่งมงคล 8 อย่าง เสริมฮวงจุ้ย รับปี 2563 ที่ต้องมีติดบ้านที่มีความเชื่อกันว่า มีคุณทางด้านการเรียกเงินทองทรัพย์สินและเพิ่มการความสุขภายในบ้าน เพื่อไม่เป็นการเสียเวลาเราไปชมกันเลยค่ะ[/vc_column_text][vc_column_text][/vc_column_text][vc_column_text]1.ไผ่กวนอิม เพิ่มความสงบและความเฉลียวฉลาดมาสู่คนที่อาศัยอยู่ในบ้าน

     เป็นพันธุ์ไม้อีกชนิดที่ซื้อหาได้ง่าย ขนาดไม่ใหญ่เทอะทะ ดูแลง่าย (แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทิ้งไว้เฉยๆได้นะครับและมีชื่อที่เป็นมงคล จึงทำให้มันเป็นที่นิยมอย่างมากในการนำมาตกแต่งและเสริมฮวงจุ้ยทั้งในบ้านและที่ทำงาน โดยในทาง ฮวงจุ้ย นั้น ไผ่กวนอิมช่วยดึงดูดความสงบและความเฉลียวฉลาดมาสู่คนที่อาศัยอยู่ในบ้าน อีกทั้งยังช่วยเปิดจิตวิญญาณภายในให้มีความยืดหยุ่นเป็นอิสระ ทำให้พลังชี่สามารถไหลผ่านเข้าไปบำรุงรักษาในร่างกายได้อย่างง่ายดาย

    [/vc_column_text][vc_column_text][/vc_column_text][vc_column_text]

    2.“สิงห์คู่” ทวารบาลแห่งอำนาจและความเจริญรุ่งเรือง

    ในศาสตร์ของ ฮวงจุ้ย สัตว์ที่นิยมนำมาใช้เป็นตัวแทนแห่งการปกปักษ์รักษาสถานที่รวมไปถึงกำจัดสิ่งชั่วร้ายด้วยแล้ว “สิงโต” นี่เรียกได้ว่าเป็นอันดับ 1 เลยค่ะ เพราะด้วยคุณลักษณะที่แข็งแรง ฉลาด ดุร้าย และมีสัญชาตญาณของผู้ล่าอยู่อย่างเต็มเปี่ยม หากใครเคยไปตามอาคารใหญ่ๆ(บางอาคารวัดจีน วัดไทย(บางแห่งจะเห็นว่ามีสิงโตยืนขนาบข้างซ้ายขวาหน้าประตูทางเข้า[/vc_column_text][vc_column_text][/vc_column_text][vc_column_text]

    3.ปี่เซียะเรียกทรัพย์ มั่งมี ร่ำรวยเงินทองและช่วยปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย

    ปี่เซียะ เป็นวัตถุมงคลยอดนิยม ที่มีการนำมาบูชา เพื่อให้ช่วยป้องกันสิ่งชั่วร้าย เรียกทรัพย์สินเงินทองให้ไหลมาเทมา และกักเก็บทรัพย์นั้นไม่ให้รั่วไหลออกไปไหนได้ ชาวจีนโบราณเชื่อกันว่า ปี่เซียะเป็นสัตว์ประหลาดที่รวมลักษณะของสัตว์มงคลทั้ง 5 ชนิดไว้ด้วยกัน ได้แก่ มังกร พญาราชสีห์หรือสิงโต อินทรี กวาง และแมว

    โดยตามตำนานเล่าว่า ปี่เซียะเป็นลูกมังกรตัวที่ 9 (เทพแห่งโชคลาภของพญามังกรสวรรค์ มีชื่อเรียกด้วยกันหลายชื่อไม่ว่าจะเป็น “เทียนลก (กวางสวรรค์)” เป็นชื่อเดิม ส่วนจีนกวางตุ้งจะเรียกว่า “เผ่เย้า” และคนจีนแต้จิ๋วจะเรียกว่า “ผีซิว

    [/vc_column_text][vc_column_text][/vc_column_text][vc_column_text]4 เสริมฮวงจุ้ยบ้าน ด้วยสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จ “ม้า

    ม้า” เป็นสัตว์ชนิดหนึ่งที่คนนิยมต่างมาใช้ตกแต่งภายในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นภาพถ่ายรูปวาด หรือรูปปั้นแกะสลัก ด้วยลักษณะท่าทางอันสง่างาม มีเอกลักษณ์ของตัวเอง ทำให้มันเป็นสัตว์ที่มีค่ามากนับตั้งแต่ยุคสมัยโบราณ ในทางฮวงจุ้ยก็เช่นกันครับ ม้าถูกนำมาใช้เป็นสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จความมีชื่อเสียงอิสรภาพ และความรวดเร็วว่องไว[/vc_column_text][vc_column_text][/vc_column_text][vc_column_text]

    5.Citrine อัญมณีแห่งความมั่งคั่ง

    Citrine จัดเป็นอัญมณีจำพวกหนึ่ง มีลักษณะคล้ายกับ Amethyst มากๆ ในด้านความเชื่อ ผู้คนเชื่อกันว่า Citrine มีพลังงานของแสงอาทิตย์สะสมอยู่ภายใน ทำให้แร่ตัวนี้มีผู้คนนิยมนำไปใช้ในการรักษาและกระตุ้นพลังจักระมณีปุระในร่างกาย ซึ่งจุดจักระนี้เป็นจุดศูนย์กลางของการหยั่งรู้ ทางด้านจิตใจอัญมณีตัวนี้จะช่วยเหลือในด้านการสร้างความมั่นใจการสร้างพลังด้านบวก และช่วยกระตุ้นพลังงานภายในและภายนอกร่างกายให้หมุนเวียนได้ดีขึ้น ส่วนทางด้านกายภาพ มีความเชื่อกันว่า ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้นและช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งคงทนให้ร่างกายสามารถออกกำลังกายได้เป็นเวลานาน[/vc_column_text][vc_column_text][/vc_column_text][vc_column_text]

    6.หยก อัญมณีแห่งความแข็งแกร่งและความสงบ

    หยก” เป็น 1 ในอัญมณีที่มีความนิยมและแพร่หลายไปทั่วโลก ด้วยรูปลักษณ์และสี ทำให้มนุษย์เลือกมันมาใช้ตกแต่งเจียระไนนำมาเป็นเครื่องประดับ ไม่ว่าจะเป็น แหวนสร้อยลูกปัด และ สร้อยคอ เป็นต้น และนอกจากนี้ ในทางศาสตร์ของ ฮวงจุ้ย เองก็นิยมใช้หยกมาเป็นเครื่องมือในการสร้างและรักษาพลังงานชี่ด้วยเช่นกัน[/vc_column_text][vc_column_text][/vc_column_text][vc_column_text]

    7.โมบายกระดิ่ง เสริมฮวงจุ้ย

    โมบายกระดิ่งลมเป็นสิ่งของที่คนทั่วไปนิยมนำมาใช้ในการจัด ฮวงจุ้ย ด้วยความที่มีขนาดเล็ก สวยงาม และมีเสียงไพเราะยามต้องลม ทำให้หลายคนเลือกที่จะนำสิ่งนี้มาตกแต่งบ้าน อีกทั้งยังมีประโยชน์ในเรื่องขจัดพลังงานลบที่พุ่งเข้ามายังบ้านได้อีกด้วย แต่ว่าในปัจจุบันนี้ ก็มีโมบายกระดิ่งลมหลากหลายรูปแบบมากมาย ทั้งที่ทำจากโลหะ แก้ว ไม้ ดินเผา หรือจากวัสดุธรรมชาติอย่าง เปลือกหอย เป็นต้น[/vc_column_text][vc_column_text][/vc_column_text][vc_column_text]

    8.คางคก 3 ขา เครื่องรางเรียกทรัพย์ชั้นยอด

    คางคก 3 ขา มีลักษณะภายนอกคือ ดวงตาสีแดง มีขาทั้งหมด 3 ขาคือด้านซ้ายกับขวาอย่างละข้างและด้านหลังอีก 1 ข้าง ปากคาบเหรียญ บางครั้งอาจจะยืนบนกองเงินทอง หรือบนหลังเต่า หลังมังกรก็ได้ ตามตำนานความเชื่อกล่าวไว้ว่า ในช่วงพระจันทร์เต็มดวง เจ้าคางคก 3 ขานี้จะปรากฏตัวหรือไปโผล่แถวบ้านหรือแถวที่ทำงานที่กำลังจะได้รับข่าวดี

    [/vc_column_text][vc_column_text]หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับเพื่อนๆทุกท่านที่กำลังต้องการ ของมงคลเพื่อหามาประดับบ้านรับปี 2563 นะคะ[/vc_column_text][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_column_text]


    ที่มา : dotproperty ,

    ที่มาภาพ : 8columns , dhamma.mthai , dotproperty , dotproperty[/vc_column_text][/vc_column][/vc_row]

  • 10 วิธีทำให้หายนอนกรนง่าย ๆ

    10 วิธีทำให้หายนอนกรนง่าย ๆ

    [vc_row][vc_column][vc_column_text]การนอนกรน หนึ่งปัญหาการนอนหลับที่น่ารำคาญทั้งกับตัวเองและคนรอบข้าง ต้องรีบจัดการปัญหานอนกรนให้หมดไปก่อนชีวิตจะพัง
    แม้การนอนกรนจะเป็นปัญหาการนอนหลับที่คนกรนไม่ค่อยจะรู้ แต่คนที่นอนข้าง ๆ นี่สิคะที่ต้องทนฟังเสียงนอนกรนของคุณจนนอนแทบไม่หลับทุกคืน ดังนั้นหากรู้ตัวว่าตัวเองส่งเสียงกรนตอนนอนหลับ ก็ต้องรีบจัดการปัญหานอนกรนให้จบสิ้นกันไปก่อนที่คนรอบข้างจะทนไม่ไหวนะจ๊ะ ส่วนการนอนกรนแก้ให้หายยังไงน่ะเหรอ ก็ตามนี้ไง[/vc_column_text][vc_column_text][/vc_column_text][vc_column_text]1. เปลี่ยนท่านอน

    วิธีแก้นอนกรนที่ง่ายที่สุด คือ การเปลี่ยนท่านอน จากที่เคยนอนหงาย ซึ่งเป็นท่าที่สะดวกกับการกรนมากที่สุด มาเป็นท่านอนตะแคง โดยอาจจะนอนกอดหมอนข้างไปด้วยก็จะช่วยให้คุณอยู่ในท่านอนตะแคงได้นานขึ้น เพียงแค่นี้ก็ทำให้กรนน้อยลงหรือเลิกกรนไปเลยได้แล้ว

    2. นอนหงายก็ได้ แต่ต้องมีเงื่อนไข

    หากท่านอนหงายเป็นท่าที่คุณนอนหลับสบายที่สุด ลองนอนโดยไม่ต้องมีหมอนรองศีรษะดูสิคะ หรือจะนอนหนุนหมอนแต่ใช้ผ้าขนหนูหนุนใต้คางเพื่อให้ปากปิดอยู่ตลอดก็ได้ วิธีนี้ก็จะช่วยแก้การนอนกรนได้เหมือนกัน

    3. ลดความอ้วน

    ถ้าตอนนี้คุณเป็นคนที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐานอยู่ แล้วพบว่าตัวเองนอนกรน ความอ้วนอาจเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้คุณนอนกรนก็ได้ เพราะเมื่อร่างกายมีเนื้อหนังรอบคอ (รวมทั้งทั่วตัว) ที่่แน่นจนเกินไป อาจทำให้กดหลอดลมหายใจจนหายใจไม่สะดวก ทีนี้ก็เลยกรนซะเสียงดังยังไงล่ะ ฉะนั้นมาลดความอ้วนกันเถอะ[/vc_column_text][vc_column_text][/vc_column_text][vc_column_text]4. งดดื่มแอลกอฮอล์

    เครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีฤทธิ์กดประสาทส่วนกลาง และสามารถส่งผลให้กล้ามเนื้อส่วนด้านหลังลำคอตึงเครียดได้ จนทำให้เกิดการนอนกรน โดยเฉพาะหากคุณดื่มแอลกอฮอล์ก่อนนอน 4-5 ชั่วโมง อาการนอนกรนจะยิ่งทวีความรุนแรง ซึ่งหากเป็นอย่างนี้ก็งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ดีกว่าเนอะ

    5. ตัดขาดจากบุหรี่

    บุหรี่เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ระบบการหายใจของเราผิดปกติไป ซึ่งไม่ต้องเดาก็น่าจะรู้ว่าบุหรี่มีเอี่ยวกับปัญหานอนกรนแน่ ๆ แถมบุหรี่ยังไม่เคยดีต่อสุขภาพของเราด้วย สิงห์อมควันทั้งหลายเลิกบุหรี่เถอะนะคะ[/vc_column_text][vc_column_text][/vc_column_text][vc_column_text]6. เลือกใช้ผลิตภัณฑ์การนอนที่ป้องกันเชื้อโรคและไรฝุ่น

    ควรใช้ผลิตภัณฑ์การนอนอย่าง Acmebell ที่ดูแลทำความสะอาดง่าย ป้องกันเชื้อโรคและไรฝุ่นที่อาจจะมาเกาะอยู่ตามหมอน และผ้าห่มของคุณได้ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสาเหตุที่ทำให้การหายใจในระหว่างนอนหลับติดขัดได้ ดังนั้นหากไม่อยากนอนกรนก็ควรต้องเลือกผลิตภัณฑ์การนอนให้ดีนะคะ[/vc_column_text][vc_column_text]7. เพิ่มความชื้นให้ห้อง

    โดยเฉพาะห้องนอนที่เปิดแอร์ตลอด ควรหาอ่างใส่น้ำมาวางไว้ข้าง ๆ เตียงเพื่อเพิ่มความชื้นในห้องนอนให้สมดุล เนื่องจากหากนอนหลับในห้องที่มีอากาศแห้งจนเกินไป ความชื้นไม่สมดุล อากาศภายในห้องนอนอาจรบกวนระบบหายใจจนทำให้นอนกรนได้นั่นเอง หรือควรจิบน้ำเล็กน้อยก่อนนอนจะทำให้คอไม่แห้ง สามารถลดอาการกรนได้

    8. นอนหลับให้เพียงพอ

    การโหมงานหนักหามรุ่งหามค่ำ หรือฝึกให้ตัวเองนอนน้อยจนชิน อาจทำให้กล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ในร่างกายอ่อนล้าลงได้เหมือนกัน และเมื่อกล้ามเนื้อส่วนด้านหลังลำคอไม่ได้อยู่ในลักษณะที่ทำให้หายใจได้สะดวกแล้ว อาการนอนกรนก็จะมาเยือนคุณในตอนนี้นี่แหละค่ะ ถ้าอย่างนั้นเอาเป็นว่านอนหลับพักผ่อนให้เต็มที่ดีกว่า ไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพด้วย[/vc_column_text][vc_column_text][/vc_column_text][vc_column_text]9. ล้างจมูกบ้าง

    สาเหตุของการนอนกรนหลัก ๆ อยู่ที่ความผิดปกติของระบบทางเดินหายใจ ดังนั้นถ้าทำยังไงก็ไม่หายกรนสักทีลองวิธีล้างจมูกช่วยก็ได้ค่ะ ไม่แน่ว่าภายในจมูกของเราอาจมีขี้มูกหรือสิ่งตกค้างเข้าไปอุดตันจนทำให้หายใจไม่ค่อยสะดวกเวลาที่นอนหลับก็ได้

    10. ใช้ยารักษาโรคภายใต้การดูแลของแพทย์

    ยาบางประเภทมีฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนกลาง และมีผลต่อสมองไม่ต่างจากแอลกอฮอล์ เช่น ยาแก้หวัดบางชนิด ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของการนอนกรนได้ ดังนั้นหากคุณจำเป็นต้องใช้ยาชนิดใดก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนทุกครั้ง[/vc_column_text][vc_column_text]วิธีแก้นอนกรนง่าย ๆ ด้วยตัวเองเหล่านี้น่าจะช่วยให้คนที่เคยนอนกรนกลับมาหลับสนิทและนอนอย่างเป็นสุขได้เหมือนเดิมนะคะ ลองทำตามกันดู[/vc_column_text][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_column_text]


    ที่มา : health.kapook

    ที่มาภาพ :  komchadluek , health.kapook[/vc_column_text][/vc_column][/vc_row]

  • ปรับท่านอนแก้ปวดหลัง

    ปรับท่านอนแก้ปวดหลัง

    [vc_row][vc_column][vc_column_text]ท่านอนแก้ปวดหลัง แค่ปรับลักษณะท่านอนให้ถูกต้อง อาการปวดเมื่อยตามร่างกายโดยเฉพาะส่วนหลังก็จะบรรเทาลงได้

    สำหรับคนที่มีอาการปวดหลังมานาน บริหารร่างกายด้วยท่าไหนอาการปวดหลังก็ไม่บรรเทาลงสักที เคสนี้อาจต้องลองปรับสิ่งเล็กๆ ที่เราอาจจะไม่ทันคิดดูก่อน อย่างลักษณะท่านอนแก้ปวดหลังต่อไปนี้ ที่จะช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยได้ดีเลย[/vc_column_text][vc_column_text]1. ท่านอนตะแคง หนุนหมอนที่ขา

    ท่านอนแก้ปวดหลังท่าแรกขอแนะนำให้นอนตะแคง เพราะเป็นท่าที่กระดูกสันหลังอยู่ในลักษณะโค้งอย่างเหมาะสม และควรจะนอนตะแคงแบบงอเข่าเล็กน้อย พร้อมกับหนุนหมอนที่ระหว่างขาทั้ง 2 ข้าง เพื่อให้สะโพกอยู่ในระนาบเดียวกันกับกระดูกสันหลัง ไม่เกิดการคดงอที่ผิดไปจากปกติ อีกทั้งการนอนในท่านี้จะช่วยให้คุณนอนหลับสนิทขึ้นด้วย[/vc_column_text][vc_column_text]2. ท่านอนหงาย แขนวางข้างลำตัว

    ท่านี้เป็นท่านอนเบสิกที่หลาย ๆ คนโปรดปราน ทว่าหากอยากแก้อาการปวดหลังควรนอนหงายโดยมีหมอนหนุนใต้เข่าสักหน่อย เพื่อเป็นการจัดเรียงกระดูกสันหลังให้อยู่ในลักษณะโค้งอย่างเหมาะสม

    ทว่าหากที่นอนนุ่มนิ่มจนเกินไป ทำให้ท่านอนหงายของเราอยู่ในลักษณะโค้งจนคล้าย ๆ ลักษณะของช้อน เคสนี้อาจต้องใช้หมอนรองที่บริเวณหลังส่วนล่างเพื่อเป็นการรักษาความโค้งงอของกระดูกสันหลังให้เหมาะสมด้วย[/vc_column_text][vc_column_text]

    และอย่างดีที่สุดควรใช้หมอนหนุนที่ช่วยกระจายแรงกดทับ ไม่ลีบ ไม่แบน รองรับศีรษะและสระรีของคุณได้ดี       

    อย่างหมอนของ Acmebell ที่ช่วยกระจายแรงกดทับได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้คุณหลับสบายตลอดทั้งคืน[/vc_column_text][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_column_text]


    ที่มา : health.kapook[/vc_column_text][/vc_column][/vc_row]

  • เครื่องดื่ม…แก้หนาว

    เครื่องดื่ม…แก้หนาว

    [vc_row][vc_column][vc_column_text]ในช่วงหน้าหนาว อากาศจะแห้งเป็นพิเศษ ทำให้ผิวพรรณอาจเสียความชุ่มชืนได้  เรามามองหาเครื่องดื่มอุ่น ๆ ดื่มคลายหนาว และควรเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่เราทำเองได้ และทำให้ร่างกายอบอุ่นด้วย วันนี้ Acmebell อยากมาแนะนำเครื่องดื่มที่ให้พลังงาน และให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายในฤดูหนาวนี้ด้วยค่ะ[/vc_column_text][vc_column_text]นมร้อน[/vc_column_text][vc_column_text][/vc_column_text][vc_column_text]

    เป็นเครื่องดื่มที่ดื่มง่าย และยังช่วยเพิ่มคุณค่าทางอาหารได้ทั้งโปรตีนและแคลเซียมให้กับร่างกาย และนอกจากนี้ยังคลายหนาวได้เป็นอย่างดี โดยการดื่มนมอุ่นๆ ประมาณ 37 องศาเซลเซียส หรือเท่ากับอุณหภูมิร่างกายของเราเอง จะมีผลดีมากที่สุด เนื่องจากโปรตีนและแคลเซี่ยมจากนมจะสามารถแตกตัวได้ดีกว่าการดื่มนมเย็น และยังส่งผลช่วยในการขยายหลอดเลือดฝอย ส่งผลให้สารอาหารต่างๆ ที่ลำเลียงผ่านหลอดเลือดเดินทางไปได้ดีขึ้น

    [/vc_column_text][vc_column_text]โกโก้ร้อน[/vc_column_text][vc_column_text][/vc_column_text][vc_column_text]

    ของโปรดของใครหลายคน อุดมไปด้วยประโยชน์มากมาย ทั้งสารต่อต้านอนุมูลอิสระ นอกจากนี้ยังมีไขมันเพียงแค่ประมาณ 0.3 กรัมเท่านั้นและเมื่อดื่มไปแล้วจะช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้แก่ร่างกายของเราได้

    [/vc_column_text][vc_column_text]นมถั่วเหลือง[/vc_column_text][vc_column_text][/vc_column_text][vc_column_text]

    เรียกอีกอย่างก็ น้ำเต้าหู้ นั่นล่ะ ซึ่งสามารถให้พลังงานกับร่างกายเราได้ไม่น้อยเลย แถมยังไม่อ้วนด้วย เพราะในน้ำเต้าหู้มีไขมันไม่อิ่มตัวมากถึง 63% นอกเหนือจากคุณค่าในแง่ของพลังงานแล้ว ยังมีวิตามินอีในปริมาณที่สูง โดยมีส่วนสำคัญที่ช่วยต้านสารอนุมูลอิสระ ช่วยดูแลเนื้อเยื่อร่างกายให้เป็นปกติ ทำให้ผิวพรรณสดใสเปล่งปลั่ง ชะลอความแก่ ช่วยป้องการเกิดโรคกระดูกพรุน โรคหัวใจล้มเหลว ท้องผูก และลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งลำไส้ และริดสีดวงได้อีกด้วย

    [/vc_column_text][vc_column_text]ชาและกาแฟ[/vc_column_text][vc_column_text][/vc_column_text][vc_column_text]

    นี่แทบจะเรียกว่า ฮิตสุดในบรรดาเครื่องดื่มคลายหนาว นอกจากจะหาดื่มง่ายแล้ว ยังมีประโยชน์ต่อร่างกายหลายอย่าง อย่างกาแฟก็เป็นตัวกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางทำให้ไม่ง่วง สมาธิในการทำงานดีขึ้นและยังลดอาการปวดเมื่อยเนื่องจากไข้หวัด กระตุ้นอวัยวะของร่างกายและเป็นตัวลดน้ำหนักได้ด้วย ส่วนชาก็ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ขยายหลอดเลือด ช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย ป้องกันโรคหัวใจตีบตัน บรรเทาอาการเจ็บหน้าอก รักษาโรคหวัดและอาการปวดหัวได้ และในใบชายังมีสารโพลิฟินอล คาร์โบไฮเดรท และกรดอะมิโน เมื่อสารเหล่านี้ทำปฏิกิริยากับน้ำลาย ก็จะช่วยกระจายความร้อนในร่างกายออกไปพร้อมๆ กับขับสารพิษในร่างกาย

    [/vc_column_text][vc_column_text]น้ำขิง[/vc_column_text][vc_column_text][/vc_column_text][vc_column_text]

    สมุนไพรที่มีฤทธิ์เผ็ดร้อน สามารถช่วยให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายและขับเหงื่อได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังช่วยย่อยอาหาร แก้อาการท้องอืดเฟ้อ คลื่นไส้อาเจียน รวมทั้งยังช่วยขยายช่องทางเดินของเลือดลมทั่วร่างกาย ไล่หวัด ลดอาการอักเสบ บวมตามข้อต่างๆ รวมทั้งบรรเทาอาการปวดเมื่อยเนื่องจากข้อเสื่อมด้วย

    [/vc_column_text][vc_column_text]น้ำมะตูม[/vc_column_text][vc_column_text][/vc_column_text][vc_column_text]

    เครื่องดื่มสมุนไพรไทยที่มีประโยชน์มาก ทั้งเป็นยาบำรุงร่างกาย รักษาธาตุ บำรุงธาตุไฟ ยาระบาย ช่วยรักษาอาการท้องร่วง ท้องเดิน โรคลำไส้ อาการท้องผูกเรื้อรัง แก้หวัด อาการไข้จับสั่น แก้ลม แก้มูกเลือด และ รักษาอาการหลอดลมอักเสบได้

    [/vc_column_text][vc_column_text]เห็นไหมคะ ถ้าเราอยากจะคลายหนาว โดยไม่ต้องพึ่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ก็มีให้เลือกเยอะแยะเลย ดื่มแล้วนอกจากจะอุ่นร่างกายแล้ว ยังอุ่นใจอีกด้วยนะ เพราะว่าแต่ละอย่างอุดมไปด้วยคุณประโยชน์ทั้งนั้นเลยค่ะ ปีใหม่นี้ก็ขอให้ทุกคนเที่ยวให้สนุกนะคะ ดูแลสุขภาพกันให้ดีด้วยนะจ๊ะ ^^[/vc_column_text][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_column_text]


    ที่มา : sanook.com

    ที่มาภาพ : ohlor.commymildlovely89, sukkaphap-d.com, rangsitcity.com, coffeefavour.com, coffeefavour.com,[/vc_column_text][/vc_column][/vc_row]